ยิ้มอัปสรในรัตติกาล (แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า)


นี่อาจไม่ใช่บทวิจารณ์รวมเรื่องสั้นเล่มแรกของแสงศรัทธา ณ ปลายฟ้าเสียทีเดียว เรียกให้ถูก น่าจะเป็นบทไว้อาลัยวัฒนธรรมอินดี้ในแวดวงวรรณกรรมเสียมากกว่า

ผมได้สัมผัสหนังสือทำมือครั้งแรกเมื่อประมาณสิบปีก่อน น้องกลุ่มหนึ่งยืนแจกปึ๊งเอกสารซีรอคกระดาษเอสี่ หน้าร้านขายการ์ตูนสยามสแควร์ ตอนแรกนึกว่าเป็นใบปลิวโฆษณา หยิบมาพลิกดูถึงรู้ว่านี่คือนิตยสารการ์ตูนคนไทยวาด ครั้งที่สองคือตอนไปเที่ยวงานแฟตกับเพื่อน ปีนั้นจัดที่โรงงานยาสูบ นอกจากฉายภาพยนตร์นักศึกษา ก็มีเด็กๆ ปูเสื่อขายเทปทำเอง และหนังสือทำมือ

หนังสือทำมือบูมสุดๆ คือเมื่อประมาณห้าหกปีที่แล้ว ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ซึ่งพัฒนาไปไกล ขนาดคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วยังสามารถแต่งกราฟฟิคสวยๆ พิมพ์ปกดีๆ ออกมาได้ ช่วงเดียวกันกับที่นิตยสารอะเดย์เพิ่งก่อตั้ง สร้างปรากฏการณ์ให้กับแวดวงสิ่งพิมพ์ สองปีถัดมาซีพีจัดงานประกวดเซเวนบุ๊คอวอร์ด เปิดโอกาสให้นักเขียนสมัครเล่น ส่งต้นฉบับ ซึ่งยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ ถือเป็นซีไรต์รุ่นเล็กสำหรับคัดเลือกดาวจรัสแสง ประกอบกับวัฒนธรรมอินเตอร์เน็ต เวปไซต์วรรณกรรม ไดอารี่ออนไลน์เริ่มมีบทบาทมากขึ้น นักอยากเขียนซึ่งยังไม่มีเรื่องสั้นมากพอ สามารถรวมกลุ่มตีพิมพ์ผลงาน (ทำมือ) ออกสู่สายตาประชาชน

ผ่านมาห้าปีแล้ว ขณะนี้หนังสือทำมือไปอยู่ที่ไหน ร้าน underground ชั้นสามโรงหนังสยามปิดตัว เหลือแค่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ เซเวนบุ๊คอวอร์ดเปลี่ยนกติกา รับเฉพาะหนังสือซึ่งผ่านสำนักพิมพ์ อะเดย์กลายเป็นองค์กรใหญ่ ห่างไกลจากสภาพดั้งเดิมของมันไปทุกขณะ หนังสือทำมือไม่ได้สร้างชาติ กอบจิตติ พญาอินทรี หรือวาณิช จรุงกิจอนันต์คนที่สอง สิ่งเดียวซึ่งงอกเงยออกมาคือสำนักพิมพ์เปิดใหม่แปดล้านห้า ผู้ผลิตหนังสือตาหวานปกเกาหลี หรือหนังสือแฉ กลุ่มวรรณกรรมที่ตั้งๆ กันมา สุดท้ายก็เบื่อเลิกร้างไป หรือไม่ก็ทะเลาะเบาะแว้ง พิสูจน์ให้เห็นว่าต่อให้ไม่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจมาเกี่ยวข้อง คนเราก็สามารถขัดแย้งกันได้ด้วยอัตตา ถ้าถามสาเหตุความซบเซาของหนังสือทำมือ เกจิในวงการก็ดีแต่โทษโรคเบื่อง่ายแบบพี่ไทย

แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า ถึงจะเป็นนักเขียนใหม่ เพิ่งออกรวมเรื่องสั้นเล่มแรก แต่ถ้าใครคลุกคลี ในวงการหนังสือทำมือ และเวปไซต์วรรณกรรม คงเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง ผมพยายามตามหาอ่านยิ้มอัปสรในรัตติกาลฉบับทำมือ แต่ไม่เคยสำเร็จ จนได้รู้ว่าบัดนี้สำนักพิม์นกฮูกตีพิมพ์ออกวางขายตามท้องตลาดแล้ว รู้สึกยินดีมาก ซื้อมาตั้งแต่แรกเห็นเลย (ปกสวยเสียด้วย)

อ่านจบ ก็ตระหนักขึ้นมาทันที ทำไมหนังสือทำมือถึงไปไหนไม่รอด ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ แสงศรัทธาฯ ทำงานได้ยอดเยี่ยม ภาษาซึ่งใช้เขียนยิ้มอัปสรฯ สวยงาม การดำเนินเรื่องลื่นไหล ไม่ติดขัด ในทางกลับกัน ถ้ามองแสงศรัทธาฯ ในฐานะ "ลูกพี่" แห่งแวดวงหนังสือทำมือ พูดได้คำเดียวว่าน่าผิดหวัง ยิ้มอัปสรฯ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ค่อนข้างตื้นเขิน ปราศจากความคิดอันโดดเด่น ไม่สะดุดตา ไม่ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้คนอ่าน ฉากแทบทุกเรื่องเป็นกรุงเทพแห่งห้วงคำนึง คือเมืองซึ่งถูกสร้างในจินตนาการ อ่านจบแล้วไม่อาจสัมผัสสภาพความเป็นจริงใดๆ

จุดด้อยสุดของยิ้มอัปสรฯ คือผู้เขียนตั้งใจเล่าเรื่องแต่งจนเกินเหตุ คนอ่านสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของเขา ไม่รู้สึกว่านี่คือหนังสือซึ่งถูกเขียนโดยมือมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อมีหนัง ตัวตนซึ่งเอ่อล้นในหนังสืออาจจะน่ารำคาญ แต่สำหรับแสงศรัทธา เขาน่าจะสามารถขุดค้นความเป็นตัวเอง ถ่ายทอดในผลงานชิ้นต่อไปได้มากกว่านี้

ยิ้มอัปสรฯ คือตัวอย่างความล่มสลายของแวดวงหนังสือทำมือ ผลงานวรรณกรรมซึ่งเกิดจากคนรุ่นใหม่ ที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเขียน โดยไม่ยอมอ่านหนังสือ ไม่ยอมศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ตอนนี้แสงศรัทธาฯ ก็ได้มีรวมเรื่องสั้นตีพิมพ์เป็นของตัวเอง อย่างน้อยในเรื่องภาษา และการเล่าเรื่องก็ถือว่าเจ้าตัวสอบผ่าน เขาน่าจะสามารถก้าวต่อไปได้ในฐานะนักเขียนเต็มตัว

แต่อย่าลืมว่าบททดสอบของมืออาชีพนั้น โหดหินยิ่งกว่าการรวมกลุ่มวรรณกรรม แปะเรื่องสั้นตามอินเตอร์เน็ต หรือพิมพ์หนังสือทำมือนัก

2 comments:

Anonymous said...

ไล่อ่านบทวิจารณ์ไปเรื่อยๆ
อันนี้โดนสุด

ขอบคุณครับ

นพ ณ กันยา said...

โดนใจ