N. Frye's "The Educated Imagination"
in medias res เลยก็คือ ฟรายเชื่อว่าวรรณกรรมทุกเล่มมีต้นกำเนิดมาจาก "ขนบธรรมเนียมประเพณี" ไม่ว่าจะหลังสมัยใหม่ รื้อสร้างกันสักเท่าไหร่ ท้ายสุดของวรรณกรรมต้องโยงกลับไปหา "วรรณคดี" "ตำนาน" หรือ "คัมภีร์ทางศาสนา" ให้ได้ ฟรายจึงเห็นว่าสมควรแล้วที่วิชาวรรณกรรม สำหรับโลกตะวันตก ต้องเริ่มมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือเป็นแม่แบบของหนังสือทั้งปวง
เพื่อความสนุก วันนี้ก็เลยจะมาลองวิเคราะห์ สุดเสน่หา ตามแนวทางของฟรายดู ทำไมต้องเป็น สุดเสน่หา ด้วย มันเป็นหนังสือหรือเปล่ายังไม่ใช่เลย เรา obsess อะไรกับพี่เจ้ยนักหนา (คราวก่อนก็เคยเขียนถึง สัตว์ประหลาด และ แสงศตวรรษ ไปแล้ว) ส่วนหนึ่งเพราะหนังของพี่เจ้ยนั้น เคยได้ยินหลายคนบ่นว่า "ดูยาก" หรือ "ดูไม่รู้เรื่อง" เราเองก็ไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก แต่พี่เจ้ยถูกมองว่าเป็นนักทำหนัง "รุ่นใหม่" ประกอบกับความพยายามถีบตัวเองให้พ้นจาก "ขนบธรรมเนียมประเพณี" เราจึงถือว่าการมอง สุดเสน่หา ในกรอบของวรรณคดีไทย น่าจะเป็นเรื่องท้าทายดี
ก่ายหน้าผากอยู่นาน เราก็สรุปได้ว่า สุดเสน่หา นั้นคือภาคต่อของวรรณคดีไทยเรื่อง รามเกียรติ ชัดเจนสุดก็คือฉากจบที่มีการจับเอาตัวละครคนพม่าไปลอยน้ำ พิธีกรรมลอยน้ำ หรืออะไรศักดิ์สิทธิ์ๆ ที่เกี่ยวกับน้ำ ชวนให้คนไทยนึกถึงศาสนาพราหมณ์ และประเทศอินเดีย (พิธีลอยกระทง พิธีลอยศพในแม่น้ำคงคา) ใน รามเกียรติ นั้น ยักษ์กุมภกรรม ทำพิธีเสกหอกโมกขศักดิ์ซึ่งเป็นสุดยอดอาวุธ ถ้าเสกสำเร็จ จะมีอิทธิฤทธิ์ล้นฟ้า ความสัมพันธ์ระหว่างศาสตราวุธ และน้ำ ก็เป็นโมทีฟที่พบเห็นได้ในตำนานกษัตริย์อาเธอร์เช่นกัน กล่าวคือเอกคาลิเบอร์ ดาบของกษัตริย์อาเธอร์ก็ปักอยู่ในหินที่ขึ้นกลางแม่น้ำ
อาวุธไปเกี่ยวอะไรกับน้ำด้วย อาวุธเป็นของที่ใช้เข่นฆ่า ธรรมดาแล้วต้องอาบไปด้วยเลือด การเอาอาวุธไปจุ่มน้ำก็เพื่อล้างเลือด และขณะเดียวกันก็ทำอาวุธนั้นให้บริสุทธิ์ กลายเป็นสุดยอดอาวุธของกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ใน สุดเสน่หา ภายหลังจากที่นางเอกเอาแฟนหนุ่มชาวพม่าไปลอยน้ำ จะมีฉากที่หล่อนเคล้นคลึงองคชาติของฝ่ายชาย คงไม่ต้องอธิบายให้มาก เพราะ "อาวุธ" และ "องคชาติ" เป็นโมทีฟที่อยู่เคียงคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร องคชาติที่ผ่านการชำระล้างในแม่น้ำมาแล้ว คือองคชาติที่สะอาด บริสุทธิ์ และหมายถึงรักแท้
ทำไมถึงต้องมีการล้าง "ความรัก" ให้สะอาดด้วย ฉากที่เราชอบใน สุดเสน่หา คือก่อนหน้านี้เมื่อทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่มกลางต้นไม้ทึบ บรรยากาศดิบๆ บวกกับพระเอกเป็นคนพม่า พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ ทำให้เราได้อารมณ์ดิบ และป่าเถื่อน ย้อนกลับไปหารามเกียรติ ครั้งแรกที่พระรามเจอกับกระบี่วานร หรือพลทหารลิง พวกนี้เป็นลิงป่า ถูกขับไล่ออกจากอาศรมพระฤษี เพราะเป็นสักขีพยานสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างเมียฤษี และทวยเทพ ดังนั้น "ลิงป่า" จึงเท่ากับ "ความรักที่ประพฤติผิดในกาม"
ในกรอบนี้เราจึงมองว่า สุดเสน่หา คือภาพยนตร์ของการชำระล้างความรัก จากรักโลกีย์ (พระเอกชาวพม่า = ลิงป่า = ผิดศีลข้อสาม) ไปยังรักบริสุทธิ์ (การชำระพระเอกในแม่น้ำ = หอกวิเศษ/ดาบเอกคาลิเบอร์ = รักบริสุทธิ์)
ต้องบอกเลยว่า นี่ไม่ใช่ "คำเฉลย" ของภาพยนตร์ ไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะอ่าน สุดเสน่หา เราเชื่อด้วยซ้ำว่าทั้งหมดที่พูดมานี้ คงไม่ได้ผ่านเข้าหัวศิลปินระหว่างการถ่ายทำเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการมองลักษณะนี้จะเป็นสิ่งเหลวไหล ถ้าเอาบลอคนี้ไปให้พี่เจ้ยอ่าน แกคงหัวเราะก๊ากหนึ่ง แล้วก็ยิ้มๆ คงไม่ปฏิเสธออกมาหรอกว่า "มันไม่ใช่เลยนะ!"
หรือแกอาจจะพูดก็ได้ (ฮา)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ
เป็นการตีความที่พิสดารและคาดไม่ถึงมากๆค่ะ และก็ทึ่งมากๆที่ยังจำรายละเอียดในรามเกียรติ์ได้มากขนาดนี้ เราเคยเรียนรามเกียรติ์ แต่กลับจำอะไรในวรรณคดีเรื่องนี้แทบไม่ได้เลย ไม่เหมือนเรื่องราวแบบ "มังกรหยก" ที่เรากลับจำได้ดีแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว
ลอกมาดามcelinejulie อย่างยิ่งครับ
ขอบคุณครับ
Post a Comment