บ้านริมทะเล (อัศศิริ ธรรมโชติ)


เหมือนว่างเลยเนอะ อัพเดทบลอคแทบทุกวันเนี่ย

อืม...ไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นยังไงดีกับ บ้านริมทะเล ถึงหน้าปกจั่วหัวว่าเป็นรวมเรื่องสั้น แต่เอาเข้าจริงๆ เหมือนบันทึกย้อนอดีตมากกว่า คุณอัศศิริเองก็เขียนท้ายปกว่า "ผมต้องการรวมรวมคนรู้จักเอาไว้เพื่อเป็นการรำลึก ต้องการให้เห็นว่า ชีวิตคนพวกนี้เป็นชีวิตสามัญธรรมดา แต่มีความสำคัญ...นักเขียนควรจะหยิบชีวิตที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมาเขียน" ในแง่หนึ่งนี่เป็นหนังสือที่อ่านเพลินๆ เพราะบรรดา "คนธรรมดา" ของคุณอัศศิริที่ตบเท้าเข้ามาใน บ้านริมทะเล ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพี่เห ที่ริส่งจดหมายรักจีบสาว แต่เขียน และอ่านหนังสือเองไม่เป็น ทอมมี่ผู้หลงใหลรถไฟ ทหารแตรขวัญใจเด็กๆ และอื่นๆ

แต่ถ้าถามว่าแต่ละเรื่องมีความสมบูรณ์ในแง่เรื่องสั้นไหม ก็คงตอบว่าไม่ บางทีเหมือนคุณอัศศิริจงใจทิ้งเรื่องราวให้ค้างๆ คาๆ หรือด้วยมุมมองที่จำกัด (เพราะผ่านสายตาเด็กชาย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นตัวคุณอัศศิริเอง) ทำให้เราได้แค่สัมผัสเหตุการณ์เพียงผิวเผิน แต่กลายเป็นว่าความไม่สมบูรณ์ตรงนี้กลับช่วยเสริมเสน่ห์ให้ บ้านริมทะเล ทำให้หนังสือบางๆ เล็กๆ เล่มนี้เสมือนกล่องของขวัญอันมีคุณค่า ยิ่งบวกกับภาษาสวยงาม ชวนฝันของมันด้วยแล้ว

ตามชื่อเรื่องบอกนั่นแหละ ฉากในเรื่องพัวพันกับท้องทะเล ค่ายทหาร และหมู่บ้านริมฝั่ง คุณอัศศิริ เหมือนคุณประชาคมคือต่างเป็นนักเขียนลูกน้ำเค็มโดยแท้ แม้ว่าอารมณ์คุณอัศศิริจะออกแนว ประมงน้ำตื้นริมฝั่ง ส่วนคุณประชาคมหนักไปทางเรือหาปลาก็ตาม คุณอัศศิริเขียนถึงทะเลได้ดี เป็นสถานที่ซึ่งแฝงความเศร้า เต็มไปด้วยการพัดพราก ความโหดร้าย แต่บางขณะก็สวยงามจนแทบลืมหายใจ เฉกเช่นเดียวกับชีวิต

จริงๆ อยากเปรียบเทียบหนังสือเล่มนี้กับผลงานที่โด่งดังสุดของคุณอัศศิริ ขุนทอง แต่เล่มนั้นอ่านเมื่อปีมะโว้ ลืมไปแล้วว่าเป็นยังไง แต่ก็เชื่อว่าต้องเป็นผลงานที่ดีไม่แพ้ บ้านริมทะเล แน่ๆ อยากพูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แต่คิดไม่ออกจริงๆ เอาเป็นว่านี่คือหนังสือเล่มเล็กที่น่าอ่าน และคงใช้เวลาอ่านจบได้ไม่เกินหนึ่งชั่วนั่งร้านกาแฟ ขอแนะนำครับ

6 comments:

Anonymous said...

คิดถึงเธอ ได้ยินหรือเปล่า

/ยังติดเน็ตที่บ้านไม่ได้เลย สาดดด

Anonymous said...

ไม่เคยอ่านเล่มนี้ของคุณอัศศิริค่ะ แต่อ่านเหนือเหน็บหนาวและเร่าร้อน และอีก 2-3 เล่มหลังๆ รู้สึกว่า หน้าตาเรื่องสั้นของคุณอัศศิริเปลี่ยนไป เหมือนเป็น "เรื่องสั้นๆ " มากกว่า อาจารย์กุสุมาท่านใช้คำว่า "บัญชรชีวิต" คือมีลักษณะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อชั่วขณะหนึ่งในชีวิตของตัวละคร ซึ่งแตกต่างกับชุดขุนทอง....มากนัก เดาว่าน่าจะเป็นผลงานรวมเล่มที่จากการเขียนในคอลัมน์สยามรัฐมากกว่าจะตั้งใจให้เป็นพล็อตของเรื่องสั้นแบบงานสมัยแรกๆ

Anonymous said...

อัศศิริเป็นนักเขียนในดวงใจค่ะ เป็นคนที่ทำให้ชอบอ่านเรื่องสั้นและเลยทำให้มีรสนิยมในการอ่านเรื่องสั้นแบบผิดๆคือ เรื่องสั้นที่ดีต้องหวานเศร้า มุมมองแบบเด็กๆทำให้เราไม่เข้าไปติดกับปัญหาแบบจริงจังมาก และจะจบเรื่องแทบทุกเรื่องด้วยความรู้สึกว่าถึงจะเศร้าอย่างไรโลกนี้ก็มีความหวังเสมอ มีความรู้สึกว่าอ่านเรื่องสั้นของนักเขียนคนนี้เหมือนได้กินกับข้าวราดแกงเขียวหวานไก่ตามด้วยน้ำเย็นๆ อิ่มกำลังดี

อ่านขอทาน แมวและคนเมาสิคะ เป็นเรื่องที่อัศศิริเขียนจากมุมมองที่โตกว่าเด็กชายต่างจากบ้านริมทะเลและโลกสีน้ำเงิน แต่ยังเก็บโทนเศร้าๆหวังๆไว้อยู่ค่ะ

ดอกแก้ว

laughable-loves said...

ขอบคุณที่แนะนำครับ ไว้กลับเมืองไทย ได้มีโอกาสแวะร้านหนังสือเมื่อไหร่ ขอทาน แมว และคนเมา เจอกันแน่! (จำหนังสือเล่มนี้ได้ครับ ปกสวยมากๆ )

Anonymous said...

ว่างๆ ก็ลองเข้าblog นี้ของคุณอัศศิริ นะค่ะ ไปแลกเปลี่ยนความ และมีตัวอย่างงานหรือบางความคิดเห็นของคนอื่นๆ ด้วยhttp://ussiri.blog.sanook.com

Anonymous said...

ว่าง ลองเข้าไปเยี่ยม blog ของคุณอัศศิริ ดู แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีข้อมูลของบางเรื่องราวบางอย่าง ที่เหมาะสำหรับเพื่อนในแวดวงhttp://ussiri.blog.sanook.com