รู้มั๊ย ทำไมนากิสถึงทำอะไรเราไม่ได้


ไม่ได้เขียนบลอคล่อเป้ามานานแล้ว ขอหน่อยเหอะ ได้ฟอร์เวิร์ดอีเมลนี้มา

เมื่อวันศุกร์ผมได้มีโอกาศได้เข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกทหารของค่ายนเรศวร วันแรกที่เข้าไปก่ะบรรยากาศครึ้มๆ ผมก็ว่าเอ... แปลกๆนะ ทำไมอากาศอบอ้าวเหมือนจะมีฝนแต่ก็คิดว่าคงเป็นไปตามสภาพอากาศ พอไปถึงก็ทำกิจกรรมจนได้เข้าหอประชุมตอนดึกใกล้เวลานอนมากแล้ว อาจารย์เอกราช ท่านได้มาพูดถึงเรื่องของฝนที่ตกนี้ว่า 'ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงให้คณะทำงานเกี่ยวกับฝนเทียม รีบทำฝนเทียมเพื่อเป็นแนว กันลมพายุดีเปรสชั่นซึ่งตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเหมือนกับเทวดาองค์นึงที่ทราบเรื่องนี้ก่อน ถามว่าตอนนั้นกรมอุตุรู้เรื่องนี้ไม๊ ... ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดพายุที่ประเทศเมียนม่า(พม่า)ด้วยซ้ำ

พอคณะทำงานด้านฝนเทียมทำงานเสร็จ ด้วยความสำเร็จ... ผลงานที่พระองค์ได้ทำ ก็ก่อให้เกิดผล เกิดพายุอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ที่พม่า และพายุนี้ก็ได้สร้างความเสียหาย และสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศเมียนมาร์(พม่า) จนทำให้เกิดความสูญเสียอันมหาศาลกับประเทศอันเคยเป็นอริกับเรา ... แต่สำหรับประเทศไทย แนวกำแพงฝนเทียมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสร้างไว้ก็ทำให้เกิดฝนตกเพียงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับพายุที่จริงๆแล้วสามารถสร้างความเดือดร้อนกับประเทศได้มาก
ออกตัวก่อนเลยว่าพอมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง แม้ไม่ได้ศึกษาพายุมาโดยตรง แต่จากที่ร่ำเรียน ความรู้สึกแรกทันทีที่อ่านถึงตรงนี้คือ "หา!!?" ลองค้นคว้าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ได้รู้อะไรน่าสนใจ สรุปสั้นๆ เมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองศึกษาผลกระทบซึ่งฝนเทียมมีต่อพายุ โดยผลสรุปในขณะนั้นคือ ศูนย์ หรือน้อยมาก เว้นแต่กรณีที่พายุนั้นทำท่าจะอ่อนตัวลงอยู่แล้ว จากจุดนั้นยังไม่มีการศึกษาเพิ่มเติม

ในแง่ทฤษฎีเรายังอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้ "กำแพงฝนเทียม" นี่คืออันหยัง หลักการฝนเทียมคือใช้สารเคมีตกตะกอนก้อนเมฆ เป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติระดับไมโคร ขณะพายุเป็นปรากฎการณ์ระดับซินนอฟติก ซึ่งมีขนาดใหญ่โตเป็นสิบ เป็นร้อยกิโลเมตร ถ้าจะมีอันใดมาหยุดยั้งมันได้จริง เห็นจะเป็นร่องความกดอากาศต่ำ หรือลมสินค้าซึ่งเป็นปรากฎการณ์ซินนอฟติกเช่นกัน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระดับโมเลกุลน้ำอย่างฝนเทียม แน่นอนว่าในธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงระดับไมโครส่งอิทธิพลไปถึงระดับที่ใหญ่กว่าได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องใช้คำว่า "ฟลุก" (คือเป็นสิ่งซึ่งเกิดโดยไม่มีเหตุผลรับรองในเชิงวิทยาศาสตร์)

ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เราต้องเปิดกว้างกับความเป็นไปได้ทุกอย่าง (อันมีเหตุผลประกอบ) เป็นไปได้ว่ามีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพายุ และฝนเทียม ซึ่งเราไม่รู้ (ไม่ว่าการศึกษานั้นจะทำโดยคนไทย หรือฝรั่งก็ตาม) เป็นไปได้ว่าในทางทฤษฎี มีคำอธิบายอันน่าเชื่อถือว่าฝนเทียมหยุดยั้งพายุได้อย่างไร หรือกระทั่งเป็นไปได้ว่าในหลวงท่าน "เชื่อ" ว่ากำแพงฝนเทียมสามารถช่วยกันประเทศเราจากภัยพิบัติได้ และสิ่งนั้นมันได้เกิดขึ้นแล้วริงๆ ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ครับ และเราก็พร้อมขอโทษใครก็ตามที่รู้สึกว่ากำลังโดนเราดูหมิ่นความเชื่อสูงสุดอยู่

แต่ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และมนุษย์ที่รู้จักใช้เหตุใช้ผล เราว่า "ยาก"

มาพูดถึงฟอร์เวิร์ดเมล์นี้ดีกว่า ผมไม่แน่ใจว่า "อาจารย์เอกราช" ในที่นี้คือใคร และใครเป็นผู้ตั้งต้นเขียนเมล์ ตรงท้ายมีจ่าว่ามาจาก "http://www.soccersuck.com/soccer/vie....php?p=1920666" ซึ่งพอคลิกดูก็จะเจอ This Webpage cannot be found. (แล้วเวป "ฟุตบอลห่วย" เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย) จุดนี้เราอยากฟันธงว่า "ปั้นน้ำเป็นตัวแน่ๆ " คำถามต่อไปคือใครเป็นคนปั้น เรามั่นใจพอๆ กับที่มั่นใจว่ากำแพงฝนเทียมไม่มีจริง ว่าคนปั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับสำนักพระราชวัง เป็นเรื่องของคนนอก นี่คือหนึ่งในแนวโน้มบางอย่างของสังคมไทยในยุคหลัง การใช้สถาบันเบื้องสูงเป็นตัวโฆษณาชวนเชื่อเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และขอพูดสั้นๆ ว่า "เรารังเกียจการกระทำเยี่ยงนี้"

เรารักในหลวงนะครับ แต่รักพระองค์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ที่ศึกษา เข้าใจธรรมชาติ ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่รักเพราะท่าน "ทรงเหมือนกับเทวดาองค์นึง"

No comments: