E. Hemingway's "The Sun also Rises"


ผิวเผินแล้วใน The Sun also Rises แทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากชาวอเมริกันสี่ห้าคนที่อาศัยอยู่ในปารีส ไปพักผ่อนตากอากาศในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศสเปน และเข้าร่วมมหกรรมสู้วัวท้องถิ่น ทั้งห้าคนได้แก่เบรตต์ แอชลี ไมค์ คู่หมั้นของหญิงสาว เจค ผู้เล่าเรื่อง โคห์น หนุ่มชาวยิว อดีตนักมวยผู้หลงรักเบรตต์ และบิล พวกเขาดื่มกิน ตกปลา ระหว่างตกปลา ก็ดื่มกินไปด้วย เข้าชมพิธีสู้วัว เสร็จแล้วก็ดื่มกินกันอีกรอบก่อนนอน และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็รับประทานอาหารเช้าไป ดื่มอะไรไปพลาง

ก็ไม่แปลกที่หลายคนจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ สงสัยด้วยว่าเรารู้จักและเคยใกล้ชิดผู้หญิงอย่างเบรตต์ แอชลีกระมัง ถึงได้อินนักกับ The Sun also Rises เบรตต์เป็นผู้หญิงที่เกลียดไม่ได้แต่ก็รักไม่ลง ขนาดอายุ 34 แล้ว ยังดึดดูดชายหนุ่มให้มารักเธอได้ถึงสี่คน นอกจากโคห์น และไมค์ ก็ยังมีเจค และโรเมโร หนุ่มสู้วัวดาวรุ่ง เฮมมิงเวย์ไม่ต้องเสียเวลาบรรยายเลยว่า เบรตต์เป็นผู้หญิงที่สวยสักแค่ไหน เรานึกภาพออกทันที เจ้าชู้ก็แสนเจ้าชู้ แต่ก็โรแมนติก สามารถทำให้ผู้ชายหลงใหล คิดว่าตัวเองเป็นทั้งหมดทั้งปวงในโลกของเธอ ไม่ชอบอยู่คนเดียว บอกรักใครได้ง่ายๆ แต่บทจะทิ้งอีกฝ่ายขึ้นมา ก็ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเจ็บปวดสักแค่ไหน ก็เกลียดเธอไม่ลง

แต่ที่เหมือนจริงยิ่งกว่าก็คือเหล่าหนุ่มๆ ที่รายล้อมเบรตต์ ไม่ว่าจะเป็นโคห์น ผู้หลงรักเธอจนบ้าคลั่ง ทำร้ายทั้งตัวเองและผู้คนรอบข้าง หรือไมค์ ที่ต้องคอยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤติกรรมสำส่อนของคู่หมั้น ได้แต่เอาเหล้ากรอกปากตัวเองให้เมาไปวันๆ เพื่อหนีความจริง ส่วนเจค นอกจากจะเป็นผู้สังเกตการณ์แล้ว ยังเป็นเพื่อนสนิทที่เบรตต์พึ่งพิงได้ยามเธอไม่เหลือใคร แต่ก็เป็นคนแรกที่จะถูกหญิงสาวทอดทิ้งเช่นกัน

เจคเล่าว่า เขาเป็น “รักแท้” คนแรกและคนเดียวของเบรตต์ ด้วยอุบัติเหตุจากสงคราม เจคจึงกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่หยุดลง แต่ถึงเจคและเบรตต์จะได้เป็นคนรักกันจริงๆ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าผู้หญิงอย่างเบรตต์จะหยุดอยู่ที่เจคได้หรือเปล่า จุดเด่นของ The Sun also Rises คือวิธีการเล่าเรื่องแบบมุมมองกล้องถ่ายหนัง ซึ่งผู้เขียนพยายามตัดขาดตัวเองออกจากเหตุการณ์ในนิยายให้มากที่สุด ผู้อ่านจึงได้แต่รับรู้เหตุการณ์แห้งๆ ตรงหน้า โดยนานๆ ทีเฮมมิงเวย์ถึงจะปรากฎตัวมาอธิบายเบื้องลึกเบื้องหลัง แรงจูงใจของตัวละคร จึงเปิดโอกาสให้เราสงสัยว่า ที่เจคบอกตัวเองคือ “รักแท้” ของเบรตต์ เป็นคำปลอบใจจอมปลอมหรือเปล่า

ขณะเดียวกัน มุมมองแห้งๆ แบบนี้ก็ช่วยให้ตอนจบและความสัมพันธ์ระหว่างเบรตต์และโรเมโรคลุมเครืออย่างน่าสนใจ ใครกันแน่เป็นฝ่ายทิ้งใคร ใครกันแน่ที่เสียน้ำตา เฮมมิงเวย์เล่าเรื่องราวความรักสลับกับมหกรรมการสู้วัว มีผู้บาดเจ็บและล้มตาย ทั้งที่เป็นวัว และที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะในเกมความรัก หรือในสนามรบ โลกนี้คงมีแต่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่ยืดหยัดอยู่ได้โดยไม่ต้องหลั่งเลือดและน้ำตา

...เกลียดไม่ได้ แต่ก็รักไม่ลง...อ่านแล้ว มันก็เจ็บดีเนอะ...

No comments: