R. Davies's "Tempest Tost"


หลังจากฟัดกับจอยซ์มาเกือบสองสัปดาห์เต็ม มีความสุขจังเลยที่ได้อ่านอะไรที่เราคุ้นเคยอย่าง Tempest Tost นิยายเล่มสุดท้ายของเดวีส์ที่เราอ่านคือ The Rebel Angels ซึ่งเป็นเล่มแรกในไตรภาคคอร์นิช ต้องบอกก่อนว่า Tempest Tost ไม่ได้อยู่ในไตรภาคคอร์นิช แต่เป็นเล่มแรกของอีกไตรภาคหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับเมืองชนบทในประเทศแคนาดา ชื่อซัลเตอร์ตัน

ถ้าเทียบกับ The Rebel Angels หรือ Fifth Business ซึ่งเป็นเล่มแรกในไตรภาคเดปฟอร์ด Tempest Tost เป็นนิยายที่เบาโหวงกว่ามาก ไม่มีตัวละครตัวไหนตาย หรือเสียสติ (แค่เกือบ)ไม่มีเวทมนต์คาถา (นัก) เป็นเรื่องเบาๆ ของนักแสดงละครมือสมัครเล่นในเมืองซัลเตอร์ตันที่ดัดแปลงบทละครอมตะของเชคสเปียร์ The Tempest มาเป็นละครกลางแจ้ง เรื่องส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวพันกับการตกหลุมรัก และปีนหลุมรักในคณะละครเล็กๆ นี้

ก็สมชื่อนิยาย และบทละคร นี่คือเรื่องราวของความรัก ความรักประเภทต่างๆ โดยมีผู้ชายสามคนแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ทั้งสามได้แก่ซอลลี ลูกแหง่ที่ต้องคอยดูแลแม่จอมบงการ โรเจอร์ ทหารหนุ่มเจ้าชู้ ผู้ผ่านสตรีมามากมาย และเฮกเตอร์ อาจารย์คณิตศาสตร์อายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่เพิ่งจะเคยถูกความรักโจมตีหนักๆ ก็หนนี้เป็นครั้งแรก ผู้หญิงที่ทั้งสามหมายปองคือกริซเซลดา ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย ประเด็นหนึ่งซึ่งเดวีส์เหมือนต้องการจะบอกคนอ่านก็คือ บางทีความรักมันไม่ได้ขึ้นกับวัตถุที่เรารักหรอก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งง่ายมากๆ ที่ใครจะหลอกตัวเองว่าเรากำลังหลงรักใคร

เฮกเตอร์เหมือนจะเป็นตัวละครที่โดน “สั่งสอน” หนักสุดในเล่ม พระเจ้าของเฮกเตอร์คือ “สามัญสำนึก” เขาเป็นผู้ชายที่ใช้สามัญสำนึก เพื่อต่อสู้ ให้ได้มาซึ่งหลายอย่างในชีวิต แต่แน่นอนว่าในโลกเวทมนต์คาถาของเดวีส์ สามัญสำนึกคือสิ่งแรกที่จะต้องโยนทิ้ง ท้ายสุดแล้วคนอ่านอย่างเราก็อดสงสารเขาไม่ได้

นอกจากตัวละครสี่ตัวที่กล่าวมา ยังมีความรักแบบอื่นๆ อีก รวมไปถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกด้วย ซึ่งเล่นบทบาทสำคัญในนิยาย มีตัวละครไม่น้อยเลยที่อยู่ในสภาพ "พ่อแม่รังแกฉัน"

เดวีส์เขียนนิยายเล่มนี้ได้อย่างรุ่มรวยอารมณ์ขัน เขาต้องการจิกกัดวัฒนธรรมชนบทของแคนาดา ที่ทุกคนต่างเทิดทูนบูชาเปลือกนอก คนที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก พออยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ กลับกลายเป็นมหาเศรษฐี และต้องปฏิบัติตัวตามความคาดหวังของสังคม เช่นเดียวกัน ศาสตราจารย์บ้านนอก ซึ่งอาจไม่ได้ชาญฉลาดอะไรนัก พอมาอยู่เมืองแห่งนี้ ก็สามารถอวดรู้อวดฉลาดได้ ผู้คนต่างภาคภูมิใจ และถือดีไปกับความต้อยต่ำของตัวเอง แต่นี่กระมังคือเสน่ห์ที่ทำให้คนอ่านอดหลงรักพวกเขาไม่ได้

No comments: