W. Bernstein's "A Splendid Exchange"

ยิ่งอ่าน ยิ่งศึกษา ก็ยิ่งรู้ว่า จริงๆ แล้ว รัฐชาตินี่มันเป็น "สิ่งประดิษฐ์" ที่มาทีหลังโลกาภิวัฒน์ชัดๆ ตั้งแต่ยุคหินเลย สุดยอดแห่งเทคโนโลยีสมัยนั้นก็คือใบมีดที่แกะสลักมาจากหินออปซิเดียน แต่หินออปซิเดียนไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะมีอยู่เฉพาะบริเวณที่ยังมีการปะทุของภูเขาไฟเท่านั้น ดังนั้นการแพร่กระจายของใบมีดออปซิเดียนไปทั่วโลก ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการค้าขาย ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนยุครัฐชาติเสียอีก

หรือเขยิบขึ้นมาหน่อย ปัจจุบันนี้เราพูดถึง การพึ่งพิงพลังงานเชื้อเพลิงจาก "รัฐอันตราย" ในตะวันออกกลาง แต่เอาเข้าจริงความเปราะบางของสถานการณ์เทียบไม่ติดฝุ่นเลยกับยุคเมโสโปเตเมีย เมโสโปเตเมียเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรก เพราะความอุดมสมบูรณ์ของดินก็จริง แต่ต้องไม่ลืม ยิ่งดินร่วนเหมาะแก่การเพาะปลูกเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ค่อยมีแร่ธาตุเท่านั้น กลายเป็นว่าในอดีต อาณาจักรในเมโสโปเตเมียต้องพึ่งพิง ค้าขายกับเมืองของพวกป่าเถื่อนที่ถลุงแร่ สกัดโลหะนั่นเอง (ในประวัติศาสตร์ ประเทศแรกที่ใกล้เคียงกับภาวะ "พึ่งพิงตนเอง" ที่สุดก็คืออียิปต์ แต่กระนั้นอียิปต์ก็ไม่มีป่าไม้ ยังต้องนำเข้าซุงมาจากบาเรนห์)

ดังนั้นฟังหูไว้หูเวลาใครออกมาพูดเรื่องการปิดประเทศ การพึ่งพิงตัวเองด้วยเกษตรกรรมล้วนๆ มันไม่เคยมีจริงหรอก เป็นแค่นิทานหลอกเด็กที่แต่งขึ้นมาทีหลังเท่านั้นเอง

3 comments:

tekkasit said...
This comment has been removed by the author.
tekkasit said...
This comment has been removed by the author.
tekkasit said...

ผมเห็นด้วยนะ ไม่มีรัฐใดๆที่มีอยู่เดี่ยวๆหรอก แล้วอย่างชาติที่โดนคว่ำบาตรไป สภาพคุณภาพชีวิตพวกชาวบ้านที่ไม่มีเส้นสายจะอยู่อย่างไร ทุกอย่างจะขาดแคลนทั้งสิ้น ทั้ง ยารักษาโรค อุปกรณ์การผ่าตัด เหล็กเส้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องจักร ก็ขึ้นราคา

คนเองที่มีทักษะอย่างอื่นนอกจากงานเกษตร ก็ไม่ถูกพัฒนา