V. Klemperer's "Language of the Third Reich"

แคลมเปอเรอร์เริ่มต้นบันทึกของเขาด้วยคำถามชวนขนลุก Mein Kampf ถูกเขียนและตีพิมพ์ก่อนฮิตเลอร์ก้าวขึ้นสู่อำนาจเสียอีก ทำไมไม่มีใครหยิบหนังสือเล่มนี้ไปอ่านแล้ว "เฉลียวใจ" บ้างเลย

นี่เป็นคำถามเดียวกับที่วนเวียนในหัวเรามาพักใหญ่แล้ว ในบันทึกปาฐกถาของปัญญาชนสยามคนหนึ่ง พูดเอาไว้ตั้งแต่ปี 47 ก่อนวิกฤติการเมืองไทยจะเริ่มต้น ปาฐกถาว่าด้วยการโลกาภิวัฒน์ เปิดฉากด้วย "โลกาภิวัฒน์คือวิถีทางที่ต่างชาติใช้เข้ามากดขี่ ยึดครองประเทศไทย..." ทั้งที่ปาฐกถาในวันนั้น ก็มีปัญญาชนสยามท่านอื่นนั่งเรียงหน้ากันสลอน มีใคร "เฉลียวใจ" บ้างหรือเปล่า ทำไมไม่มีใครลุกขึ้นมาพูดอะไรเลย ตอนที่พูดจบในวันนั้น มีคนตบมือหรือเปล่า ในประเทศที่ Mein Kampt วางจำหน่ายในวงกว้าง ในประเทศที่ผู้ทรงคุณวุฒิแอบอ้างอวิชชากันอย่างสนุกปาก มันบ่งบอกหรือเปล่าว่าหายนะกำลังจะมาเยือนประเทศแบบนั้น

LTI คือตัวย่อที่แคลปเปอเรอร์ใช้เรียก "ภาษาแห่งอาณาจักรไรซ์ที่สาม" ภาษาที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นโดยผู้นำนาซี เพื่อใช้ยึดครองประเทศและจิตวิญญาณของชาวเยอรมัน มันเป็นภาษาที่ "เขียนและคิดได้ด้วยตัวเอง" สามารถนำมาประกอบเรียงกันเป็นคำพูดสวยหรู ฟังแล้วซาบซึ้ง แต่ไม่มีเนื้อหาอันใดอยู่เบื้องหลัง

LTI อาจแบ่งได้เป็นสามชั้น ในชั้นผิวเผิน คือการโฆษณาชวนเชื่อ เช่น การปลูกฝังให้เหยียดผิว แบ่งแยกเชื้อชาติ รังเกียจคนยิว รวมไปถึงตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเยอรมันเป็นประเทศรักสันติภาพ การสู้รบที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นการ "ยิงป้องกันในแนวราบ" ทั้งสิ้น

ในระดับที่ลึกลงมาหน่อย LTI ถูกใช้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่แทรกอยู่ในทัศนคติทางวิชาการ และปรัชญา เช่น การปลูกฝังให้รักธรรมชาติ ใช้สมุนไพร แทนที่จะใช้ยาแคปซูล เพราะธรรมชาติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณ คนเยอรมันจะได้ไม่งมงายในเหตุและผล เพราะความจริงขั้นสูงสุดมาได้แต่ศรัทธา หาใช่การใคร่ครวญวิพากษ์วิจารณ์ไม่ (ถ้าใช้คำปรามาสของแคลมเปอเรอร์เลยก็คือ ทัศนคติแบบนี้เขลาเกินกว่าจะหลุดมาจากปากมนุษย์ได้ แต่มนุษย์ชอบเอามันมาป้ายไว้รอบๆ ปาก เพื่อสร้างความดูดีให้กับตัวเอง)

ในระดับสุดท้ายซึ่งลึกซึ้งที่สุดคือ LTI แฝงอยู่ในคำพูดและไวยากรณ์ คำที่ถูกใช้บ่อยเป็นพิเศษด้วยความหมายที่แตกต่างไปจากเดิม คำที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ หรือกระทั่งในโครงสร้างไวยากรณ์ แคลปเปอเรอร์ตั้งข้อสังเกตว่า แม้นาซีจะหมกมุ่นกับเรื่องยิวเป็นพิเศษ แต่คำว่า "ยิว" ในฐานะคำนามจะถูกใช้น้อยมาก "ยิว" ถูกใช้บ่อยสุด โดยการแปลงให้เป็นคำคุณศัพท์ ถึงได้มีคำว่า "รัสเซียพันธุ์ยิว" "อเมริกาพันธุ์ยิว" "นายทุนพันธุ์ยิว" "นักวิทยาศาสตร์พันธุ์ยิว" ขึ้นมา นั่นเป็นเพราะพวกนาซีต้องการเอาสัญลักษณ์ของยิว มาแปะลงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นศัตรูกับตัวเอง

สุดท้ายถ้าอยากรู้ว่าภาษานาซีแปลไทยเป็นอย่างไร เชิญแวะไปดูตัวอย่าง

7 comments:

Anonymous said...

เวลาฟังปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงเคยเฉลียวใจบ้างไหมครับ

hi said...

นั่นสิครับ สงสัยจะเห็นอยู่ฝ่ายเดียว

ระวังจะเป็นนาซีเข้าจริงๆ โดยไม่รู้ตัวนะครับ

laughable-loves said...
This comment has been removed by the author.
laughable-loves said...

ขึ้นอยู่กับว่าเราเทียบอะไรกับอะไร ถ้าจะเอา "ปราศรัยของแกนนำเสื้อแดง" ก็ต้องเอาไปเทียบกับ "ปราศรัยของแกนนำเสื้อเหลือง" ซึ่งการปราศรัยก็จะมีรูปแบบและกติกาเฉพาะ (ที่สุดแล้วการปราศรัยก็คือการปลุกเร้าอารมณ์ และโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง คงหลีกเลี่ยงภาษาดังกล่าวได้ยาก)

ในที่นี้ผมสนใจ "บทความ" ของนักวิชาการ หรือวาทกรรมที่ถูกนำเสนอผ่านพิธีกรรมทางวิชาการ ที่น่าจะตรวจสอบได้ เป็นเหตุเป็นผล และไม่สะเปะสะปะ (เช่น การปาฐกถาที่รวบรวมปัญญาชนทั่วประเทศ ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว หรือข้อเขียนลงหนังสือพิมพ์ที่นำมาวางไว้ในตอนท้าย)

Anonymous said...

มีบทความทางวิชาการของฝั่งเสื้อแดงชิ้นไหนที่ผ่านตาแล้วรู้สึกเฉลียวใจบ้างไหมครับ

laughable-loves said...

บทความทุกสี ถ้าเอาความเท็จมาพูด เอาอคติมาตบแต่งให้เป็นวิชาการ อ่านแล้วเฉลียวใจทั้งนั้นครับ

Anonymous said...

อยากให้แนะนำ บทความทางวิชาการของฝั่งเสื้อแดง ที่มีความเป็นนาซีให้อ่านดูบ้างครับ