S. Plath's "The Bell Jar"


หายไปนาน ไม่มีข้อแก้ตัวนอกจากอ่านนิยายอิตาลีเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบและเลิกอ่านกลางคัน ดังนั้นไม่ใช่ว่า The Bell Jar มีอะไรไม่ดี หรือหนาปึกถึงขนาดต้องอ่านเป็นอาทิตย์หรอกนะ

เล่มนี้ชวนให้นึกถึง Surface Up หนังสือของแอดวู้ดที่เคยเขียนถึงไปแล้ว The Bell Jar เป็นอีกนิยายคนบ้า ที่พูดถึงตัวละครผู้มีสภาพจิตใจผิดธรรมดาและตลอดทั้งเล่มคือพัฒนาการของเธอ ตั้งแต่ตอนที่ยังปกติ จนไปจบลงในโรงพยาบาล (หรือในกรณี Surface Up คือหนีเข้าสู่ธรรมชาติ) ที่นิยายของแพลทต่างจากเล่มอื่น คงเป็นเพราะ attitude ที่มีต่อคนบ้า ไม่ใช่ออกมาในเชิงหลงใหล romanticize เหมือนแอดวู้ด หรือเวอจิเนียร์ วูลฟ์ เอสเธอร์ ตัวเอกของ The Bell Jar ลึกๆ ดูโหยหาความเป็นคนปกติไม่ใช่น้อย และในครึ่งหลังของนิยาย พูดถึงการเดินทางย้อนกลับจากความบ้า ไปสู่ความหายบ้า

ตอนเริ่มเรื่อง เอสเธอร์เป็นผู้หญิงที่นอกจากจะไม่บ้าแล้ว ยังฉลาดกว่าคนปกติด้วยซ้ำ เธอได้ทุนการศึกษา และรางวัลเรียนดีจากสถาบันต่างๆ เปิดนิยายมา เธอคือหนึ่งในผู้หญิงสิบสองคนผู้ถูกคัดเลือกไปโชว์ตัว และทำงานพิเศษในนิวยอร์ก คนที่จะได้รับอภิสิทธินี้นอกจากจะเป็นผู้หญิงเก่ง ยังต้องสวยเชิดหน้าชูตา (สมัยเรียนตรี เพื่อนสนิทเราคนหนึ่งก็ได้รางวัลนี้เช่นกัน ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเธอแจ่มมาก) คำถามชวนสงสัยคือสิ่งไหนกันผลักไสผู้หญิงคนนี้ให้หลุดโลกแห่งความจริงไป ใช่เรื่องที่แฟนหนุ่มสารภาพ ยาพิษที่ผู้ไม่ประสงค์ดีใส่ลงในอาหาร การที่เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ ข่าวความล้มเหลวครั้งแรกในชีวิต หรือสภาพครอบครัวอันปราศจากพ่อ และสัมพันธภาพกับแม่ที่ไม่ราบรื่น

ถ้าจะตอบแบบตีขลุม ก็คงเป็นสภาพสังคมซึ่งกำหนดบทบาททางเพศมาให้เธอเล่น โดยเอสเธอร์รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเข้าถึงบทบาทนี้ได้ แม่พร่ำสอนเธอให้อยู่ใต้อำนาจผู้ชาย ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงซึ่งเธอชื่นชมอย่างหัวหน้าบรรณาธิการก็มีลักษณะไร้เพศบางประการ ซึ่งเธอไม่อยากเลียนแบบ ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างผู้หญิงที่เคยมีเซ็กแล้ว และยังไม่มี

อุปมาอุปมัยตัวหนึ่งซึ่งเราชอบมาก คือเอสเธอร์เปรียบชีวิตตัวเองเหมือนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ โดยแต่ละกิ่งแทนอนาคตอันสดใสซึ่งเธอเลือกได้ แต่เมื่อไม่อาจเลือกอะไรเลย ก็เพียงแค่รอให้แต่ละกิ่งค่อยๆ ร่วงโรย ส่วนชื่อหนังสือ "ขวดโหล" อ้างถึงตอนแฟนหนุ่มนักเรียนแพทย์พาเธอไปดูเด็กดอง เอสเธอร์รู้สึกเหมือนโลกนี้มีคนบางประเภท ซึ่งเธอคือหนึ่งในนั้น ที่ถูกสาปให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโหลแก้ว และของเหลวกลิ่นเหม็นหืนตลอดกาล

เรารู้สึกว่าแพลทประสบความสำเร็จในครึ่งแรกของนิยาย มากกว่าครึ่งหลัง ที่ผู้เขียนบรรยายตัวเอกออกมาดูมีเหตุมีผลเกินกว่าจะเป็นคนบ้า รวมไปถึงเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งเกิดมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพื่อสร้างผลกระทบทางอารมณ์ให้คนเขียนปิดนิยายได้เท่านั้น อย่างไรก็ดีนี่อาจจะเป็นนิยายคนบ้าที่เราชอบที่สุดก็ว่าได้

1 comment:

Anonymous said...

ชอบหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน แต่จะชอบส่วนหลังที่เธอพยายามฆ่าตัวตายจนไปจบในโรงพยาบาลบ้า ผ่านการรักษาบำบัดแบบต่าง ๆ เรื่องราวของเธอมีชีวิตชีวามาก คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็เขียนไปตามนั้น ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้มากเรื่อง

ขอบอกว่าฉันรู้จัก blog ของคุณผ่านหนังสือเล่มนี้ เข้ามาดูหลายครั้งว่าคุณอ่านอะไรไปบ้าง

chusank