Sir Ian McKellen


อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสดูละครสองเรื่อง คือ King Lear และ The Seagull จริงๆ แค่ได้ดูละครสองเรื่องนี้ก็ถือว่าโคตรปลื้มแล้ว แต่นี่ยังเป็นของคณะ Royal Shakespeare Company คณะละครระดับโลก และที่สำคัญคือเซอร์เอียน แมคคัลเลนเล่นในทั้งสองเรื่องด้วย!

The Seagull เป็นละครที่มีความหมายกับเรามาก เพราะถือเป็นละครเปลี่ยนชีวิตก็ว่าได้ The Seagull เป็นละครเรื่องสุดท้ายที่เรา "เล่น" หลังจากนั้นเริ่มเบื่อหน่ายกับการเป็นตัวประกอบ ต้นไม้ ก้อนหิน ก็เลยหันมาเขียนละครเอง และ "ส____" ก็เกิดขึ้นมา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเจ้านางนวลไปเต็มๆ

เจ้านางนวลเขียนโดยเชคอฟ แต่ฉบับที่เราอ่านครั้งแรกเป็นเวอร์ชั่นเทนเนสซี วิลเลียม ไม่เคยได้ดูหรืออ่านเวอร์ชั่นดั้งเดิมกระทั่งวันนี้ ดูไปก็ปลื้มไป แล้วก็ตื่นเต้นจนใจสั่น ให้พูดถึงละครจริงๆ ก็ดีมากอยู่แล้ว แต่นี่ยังรู้สึกถึงอิทธิพลที่มันมีต่อความคิด ความอ่านเรา กี่ครั้งแล้วที่เรานั่งหน้าแป้นพิมพ์ พยายามเขียนอะไรบางอย่างออกมา โดยที่มีภาพเงาของนีนา คอนสแตนดิน อาคาดินา และตริกอรินทาทับอยู่เสมอ

ทั้งที่เคยอ่านแค่รอบเดียว แต่จนบัดนี้ก็ยังจำหลายฉากได้ขึ้นใจ ตั้งแต่ประโยค (เกือบ) เปิดเรื่อง "ฉันแต่งดำไว้ทุกข์ให้กับชีวิตตัวเอง" จนถึงตอนจบ ที่ไม่เหมือนกันระหว่างสองเวอร์ชั่น ฉบับเชคอฟจะสมจริงสมจังกว่า ส่วนวิลเลียมปิดเรื่องได้ละค๊รละครแต่ก็ตราตรึงใจผู้ชมได้มากกว่าเช่นกัน

ส่วน King Lear คือหนึ่งในสองละครของเชคสเปียร์ที่เราชอบสุด ความชอบสลับไปมาระหว่าง Macbeth กับเรื่องนี้ ขณะที่เซอร์เอียนเล่นเป็นตัวประกอบใน The Seagull แกรับบทราชาเลียร์ไปเลยเต็มๆ เคยเขียนถึงบทละครเรื่องนี้ไปแล้ว สำหรับการแสดงของ Royal Shakespeare Company ต้องยอมรับว่าสมคำร่ำลือ แอบผิดหวังนิดๆ กับเซอร์เอียนในบทราชาสติแตก อาจเพราะคุ้นชินกับแกเวลาเป็นตัวละครเท่ๆ อย่างกันดาฟ แมคนิโต หรือว่าทิปปิง (The Da Vinci Code) กระมัง ส่วนตัวก็เลยชอบการแสดงช่วงเปิดเรื่องมากกว่า กระนั้นฉากมงกุฎดอกไม้ (act 4 scene 6) ซึ่งเป็นฉากเอกของละครก็ทำออกมาได้งดงามชวนฝันสมที่รอคอย

No comments: