R. Harris' "Imperium"

ในปี 2008 เมื่อบารัค โอบามาขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศอเมริกา มีเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่งซึ่งมีความหมายมากสำหรับเรา ในช่วงแข่งขันคัดผู้สมัครพรรคเดโมแครตระหว่างฮิลลารี คลินตัน และบารัค โอบามา หนหนึ่งคลินตันปราศรัยโดยกล่าวถึง "unsung hero" (วีรบุรุษผู้ถูกลืม) ในที่นี้คือนักการเมืองผู้หนึ่งซึ่งเป็นโต้โผใหญ่ในการขับเคลื่อนกฏหมายที่นำไปสู่ความเท่าเทียมกันระหว่างคนดำและคนขาวในอเมริกา

เท่านั้นแหละ นี่เป็นอีกปราศรัยหนึ่งของฮิลลาลีที่ถูกประณามมากที่สุด คนอเมริกาส่วนใหญ่มองว่าฮิลลารีไม่ยอมให้เกียรติมาติน ลูเธอ คิงก์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิคนดำผู้ถูกลอบสังหาร (และการตายของคิงก์ ก็คือฉนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฏหมายเหยียดผิวในอเมริกา) ถ้าจากมุมมองทางการเมืองแล้ว คำปราศรัยนี้ของฮิลลาลีคือความล้มเหลว แต่ถ้าจากมุมมองของคนจบกฏหมายจากเยล เราอดสงสัยไม่ได้ว่าฮิลลาลีเสียใจไหมที่พูดแบบนั้นออกไป

ใน Imperium ซิเซโร นักการเมืองโรมันในยุคสาธารณรัฐ (ก่อนคริสตศักราช) ทำมาหมดแล้ว ตั้งแต่ปกป้องไพร่ซิซิลีจากการถูกเอารัดเอาเปรียบโดยอำมาตย์โรมัน ปกป้องอำมาตย์โรมันที่ถูกไพร่กูลฟ้องร้อง ผ่านกฏหมายที่เป็นรากฐานของระบบเผด็จการ หยุดยั้งการก่อรัฐประหาร ปกป้องผู้บริสุทธิ์ ปกป้องคนพาล ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเขาเอง

แต่แล้วมันผิดอะไร ความจริงที่หลายคนไม่ยอมรับก็คือ นักการเมืองและความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาต่างหากคือตัวแปรที่สร้างสรรค์จรรโลงโลกมานับครั้งไม่ถ้วน นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งนั้นจะเป็นภัยต่อตัวเอง แต่นักการเมืองส่วนใหญ่ ถ้าสถานการณ์อำนวย พวกเขาจะยืนอยู่ข้างประชาชน (ดังนั้นส่วนหนึ่งจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะสร้างสถานการณ์นั้นขึ้นมา)

ส่วนคนที่พลาดพลั้งโอกาสดีๆ โอกาสที่จะกลายเป็นวีรบุรุษ แทกซิทัส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันอธิบายคนพวกนี้ไว้ได้อย่างถูกต้อง "capax imperii, nisi imperasset/เขาช่างดูเหมาะสมจะเป็นจักรพรรดิ จนเมื่อเขาได้ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิจริงๆ "