P. Virilio's "Art and Fear"


Cinema disturbs one's vision. The speed of the movements and the rapid change of images force you to look continuously from one to the next. Your sight does not master the pictures, it is the pictures that master your sight. They flood your consciousness. The cinema involves putting your eyes into uniform, when before they were naked.

คาฟกาเป็นคนพูดประโยคข้างบนนี้ เอามาแปะให้ผู้กำกับเฉยๆ คิดว่าคงชอบ

ใน Art and Fear วิริลิโอให้เหตุผลว่าพัฒนาการของภาพยนตร์เสียงได้ทำลายวัฒนธรรมทางศิลปะทั้งหมด รวมถึงวัฒนธรรมอื่นๆ และอาจจะเป็นสาเหตุของความโหดเหี้ยมทารุณในศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ค่ายกักกันของนาซีจนถึงการสังหารหมู่ของเขมรแดง

ว่าเข้าไปนั่น แต่เหตุผลของวิริลิโอก็เข้าทีเข้าท่าอยู่ไม่น้อย แกบอกว่าศิลปะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นศิลปะแห่งความเงียบ ในรูปข้างบน ขนาดจะวาดภาพคนเป่าขลุ่ย อัลมาทัลเดมายังไม่กล้าวาดตอนกำลังเป่าเลย แต่เลี่ยงไปวาดภาพที่เข้ากันได้ดีกับความเงียบแทน ตั้งแต่มุนช์เป็นต้นมา จนถึงคาดินสกี้ ศิลปินก็เริ่มค่อยๆ ใส่ "เสียง" ลงไปในจิตรกรรมของตัวเอง (ไม่เกี่ยวเท่าไหร่แต่ The Scream อันโด่งดังของมุนช์ วาดขึ้นสองปีก่อนที่พี่น้องลูเมียร์จะประดิษฐ์ภาพเคลื่อนไหว) และที่สุดของพัฒนาการดังกล่าวก็คือ The Jazz Singer ภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของโลก

เมื่อ "ศิลปะแขนงที่เจ็ด" ​ถูกพัฒนาจนเป็นผลสำเร็จโดยผสานเอาศิลปะทั้งหมดตั้งแต่วรรณกรรม จิตรกรรม จนถึงคีตกาลเข้ามาอยู่ในตัวมัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่สามารถมองภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวโดยไม่ใส่เสียงบรรยายในหัวได้อีกแล้ว วิริลิโออธิบายตรงนี้ได้เท่มากคือ "ความเงียบถูกทำให้เป็นใบ้" สังคมมนุษย์พัฒนาไปเป็นสังคมแห่งการพูด การตะโกน ศิลปินไม่สามารถสร้างงานศิลปะที่ไม่มี "ข้อความ" ไม่ตะโกนเรียกร้องอะไรสักอย่าง ("Art that does not help in the fight diverts attention from it.")

ในทางกลับกันการไม่พูดเลยก็เกิดความหมายใหม่ในตัวมันเอง เหมือนที่พูดกันติดปากว่า "ไม่พูดแปลว่าไม่ปฏิเสธ" ซึ่งก็เป็นที่มาของการยินยอมให้เกิดความรุนแรงขึ้นโดยไม่ออกมาต่อต้าน (ประเด็นนี้ถูกวิเคราะห์เยอะมาก โดยนักปรัชญาและนักสังคมศาสตร์ที่ศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดดเด่นสุดน่าจะเป็น Eichmann in Jerusalem ของอาร์เรนท์)

Art and Fear เล่มนี้อ่านเพลินดี แต่ก็เหมือนวิริลิโอจะทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปหน่อย แกกัดไม่เลือกเลยตั้งแต่มุนช์จนถึงศิลปินไซเบอร์ แล้วบทที่พูดถึงโคลนนิ่ง โฮมุนครูส อ่านแล้วก็แอบฮาๆ นึกว่ากำลังอ่าน Full Metal Alchemist

1 comment:

ชอบอยู่ said...

เข้ามาขอบคุณที่อุตส่าห์โพสต์ให้