W. M. Miller Jr.'s "A Canticle for Leibowitz"


มิลเลอร์ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุการณ์ซึ่งกระทบใจเขาอย่างรุนแรงคือการระเบิดโบสถ์แห่งหนึ่ง อันเป็นโบราณสถานเก่าแก่สุดในทวีปยุโรป หลังสิ้นสงครามมิลเลอร์เขียนเรื่องสั้นลงนิตยสารวิทยาศาสตร์ แต่ละเรื่องมีตัวละครต่างชุด แต่ยืนพื้นอยู่บนโลกสมมติเดียวกัน กระทั่งเมื่อเสร็จเรื่องสุดท้าย เขาถึงได้ตระหนักว่าตัวเองเพิ่งเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จบเล่มหนึ่ง

A Canticle for Leibowitz เป็นนิยายซึ่งมีตัวเอกเป็นโบสถ์ อาจฟังดูตลก แต่ให้ตีความจริงๆ ก็คงได้ข้อสรุปว่าพระเอกของนิยายไม่ใช่หลวงพ่อ หรือพระคุณเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หากเป็นทั้งนิกายไลโบวิทซ์ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องอันมีส่วนในการเก็บรวบรวม รักษาวิชาความรู้สำหรับมวลมนุษย์ ในโลกสมมติของมิลเลอร์ ภายหลังสงครามปรมาณูล้างโลก ผู้คนเข้าสู่ยุคโง่เขลา ใส่ความวิทยาศาสตร์ว่าเป็นต้นเหตุแห่งการทำลายล้าง หนังสือถูกเผาทิ้ง นักวิชาการถูกเข่นฆ่า ไลโบวิทซ์ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นวิศวกร ออกบวชเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ก่อตั้งนิกายโดยมีเป้าหมายเพื่อซ่อนเก็บ คัดลอก และจดจำหนังสือ โดยหวังว่าสักวันเมื่อผ่านพ้นยุคโง่เขลา วิชาความรู้จะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลาน

A Canticle for Leibowitz ดำเนินเหตุการณ์ยาวนานเกือบสองพันปี ผ่านเรื่องสั้นขนาดยาวสามเรื่อง ตั้งแต่หนึ่งในแผนภาพโบราณถูกค้นพบ ส่งผลให้สำนักวาติกันยอมรับชื่อไลโบวิทซ์เป็นนักบุญ อีกสี่ร้อยปีถัดมา ไฟฟ้าถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หนึ่งพันปีผ่านไป มนุษย์เจริญถึงขั้นครอบครองดวงดาวเป็นอาณานิคม แต่ขณะเดียวกันสงครามปรมาณูล้างโลกครั้งที่สองกำลังจะเกิดขึ้น

ประเด็นซึ่งผู้เขียนพยายามพูดถึงคือมนุษย์เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ และสามารถกระทำความผิดซ้ำซาก ไม่ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงสักแค่ไหน สังฆราชผู้หนึ่งเปรียบเทียบมนุษยชาติว่าเหมือนนกไฟ ต้องแผดเผาตัวเองแล้วเกิดใหม่ซ้ำซาก เป็นอุปมาที่น่าคิดเพราะใน Fahrenheit 451 ก็มีตัวละครพูดทำนองนี้ เพียงแต่แบรดเบอรี่ต้องการเน้นความสามารถในการเกิดใหม่ มากกว่าแง่มุมการทำลายตัวเอง

A Canticle for Leibowitz เป็นนิยายที่เกือบดีแล้ว โดยเฉพาะช่วงสอง ดีมากๆ มิลเลอร์ประสบความสำเร็จในการสร้างโลกกึ่งอดีต กึ่งอนาคต สภาพการเมืองแบบชนเผ่าแบ่งแยกดินแดน อ่านผิวเผินจะนึกว่าเป็นยุโรปยุคกลาง ผู้เขียนไปตกม้าตายตรงช่วงสามที่อยู่ดีๆ กลายเป็นนิยายโลกอนาคตเฉย พอเริ่มมีหุ่นยนต์ ยานอวกาศ เทคโนโลยีพิสดาร ทำลายบรรยากาศที่อุตส่าห์สร้างมาตลอดทั้งเล่ม

เสียดายหนังสือ แต่ไม่เสียดายเวลาที่อ่านครับ

No comments: