W. Kamkwanba's "The Boy Who Harnessed the Wind"


บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าเรื่องง่ายๆ นี่แหละคือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว The Boy Who Harnessed the Wind คือเรื่องง่ายๆ ของเด็กชายชาวมาลาวีคนหนึ่งชื่อคามความบา เขามาจากครอบครัวที่ยากจนในประเทศที่แสนยากจนในทวีปแอฟริกา เนื่องจากพ่อไม่มีเงินจะส่งเขาเรียนต่อ คามความบาเลยทดแทนความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นด้วยการยืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เกี่ยวกับวิชาฟิสิกส์และวิศวกรรมไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน จนในที่สุดก็เกิดความคิดที่จะประดิษฐ์กังหันลมปั่นไฟฟ้าขึ้นมาเองจากเศษขยะ

นี่คือเรื่องย่อที่เราหาอ่านได้จากปกหลัง หนังสือจริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากเรื่องย่อตรงนี้เท่าไหร่ แต่สำหรับเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้ว ต่อให้ไม่มีอะไรออกมาให้เราแปลกใจเลย ก็ยังต้องยอมรับว่า The Boy Who Harnessed the Wind เป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่มากๆ สมแล้วกับที่มันติดอันดับสิบเล่มยอดฮิตของอเมซอน

ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรให้เราแปลกใจเลย ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ยอมรับว่าก่อนจะอ่าน ตัวเองแอบคิดนิดๆ ว่าแค่สร้างกังหันลมได้ไม่เห็นเก่งกาจสักเท่าไหร่เลย พอมาอ่านจริงๆ ถึงรู้ว่าไม่ใช่ว่ากังหันลมเท่านั้น แม้แต่ทรานซิสเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนกระแสสลับให้เป็นกระแสตรง หรือคัทเอาท์ที่ใช้ตัดไฟไม่ให้เกิดอัคคีภัยกรณีลวดทองแดงพันกัน (ซึ่งสำคัญมากกับระบบไฟฟ้าสร้างเองที่เอาชิ้นส่วนขยะมารีไซเคิลแบบนี้) คามความบาก็สร้างขึ้นมาทั้งหมดด้วยตัวเอง อันนี่ซิ เรายอมรับว่าแน่จริงๆ เขาไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์ที่ลอกตามต้นแบบในหนังสือเท่านั้น แต่ยังเข้าใจถึงกลไกที่อยู่เบื้องหลังสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองด้วย

นอกจากจะเป็นนักประดิษฐ์ผู้มีพรสวรรค์แล้ว คามความบาเองก็เป็นนักเล่าเรื่องที่มีความสามารถไม่น้อย การผสมผสานนิทานพื้นเมืองเข้ากับชีวประวัติตัวเองและสังคม ช่วยให้เราเห็นภาพบ้านเมืองของประเทศมาลาวีได้อย่างชัดเจนขึ้น แถมเจ้าตัวเองก็ดูจะรุ่มรวยอารมณ์ขันไม่น้อย ขนาดช่วงที่เล่าถึงความอดโซยากลำบาก ก็ยังอุตส่าห์หยอดมุกตลกเป็นระยะ นี่คือหนังสือที่อ่านแล้วไม่เบื่อเลยสักนิด ส่วนหนึ่งก็ต้องยกผลประโยชน์ให้ไบรอัน มิลเลอร์ ผู้เขียนอีกคนด้วย หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องผ่านสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง ดังนั้นคงเป็นคามความบาให้สัมภาษณ์ แล้วมิลเลอร์เอามาถอดเทปอีกที ก็นับว่าเขาให้เกียรตินักเขียนดีเหมือนกัน ถ้าเป็นบ้านเรามิลเลอร์คงได้เป็นแค่โกสไรท์เตอร์ ไม่มีชื่อขึ้นปกแบบนี้หรอก

เห็นรูปคามความบาที่ตัวเองเอามาแปะข้างบนแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อวิทยาศาสตร์สมกับที่ตัวเองตั้งใจ ขอเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกัน ขอบคุณมากๆ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแค่หนังสือในห้องสมุดก็เปลี่ยนแปลงชีวิตคนคนหนึ่งหรือผู้คนทั้งสังคมได้

1 comment:

Finianrainbow said...

อยากให้มีคนแปลให้เยาวชนบ้านเราได้อ่านจัง อยากถามคุณว่ามีโอกาสได้อ่าน Free:The Future of a Radical Price หรือยัง เราเคยได้อ่านตอนยังเป็น article จาก blog ของเขาก่อนจะขยายเป็นหนังสือค่ะ อยากฟังความเห็น เพราะเราชอบ Chris Anderson เป็นส่วนตัว