D. Aaronovitch's "Voo Doo Histories"


"ยิ่งลักษณ์" โชคดีได้เป็นนายกรัฐมนตรีในยุค facebook ดีกว่ายุค webboard อย่าง "ทักษิณ" - เพราะทุกอย่างมันกระจายได้กว้างกว่าและเชื่อมโยงเข้าหากันได้มากกว่า

เอามาจากรุ่นพี่คนหนึ่งใน facebook น่าสนใจดี

ตั้งแต่สหัสวรรษใหม่เป็นต้นมา อเมริกามีทฤษฎีสมคบคิดอันโด่งดังอยู่สองทฤษฎี ทฤษฎีแรกคือแท้จริงแล้ว 9-11 เป็นผลงานของรัฐบาลบุช ที่ก่อวินาศกรรมกับประชาชนตัวเองเพื่อเป็นข้ออ้างก่อสงคราม ทฤษฎีหลังคือความจริงที่ว่าประธานาธิบดีโอบามา อาจไม่ได้เกิดในประเทศอเมริกา และไม่ใช่แม้แต่คนอเมริกันด้วยซ้ำ (คำอธิบายอย่างเป็น "ทางการ" คือโอบามาเกิดในฮาวาย สองปีภายหลังจากฮาวายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอเมริกา)

ระหว่างสองทฤษฎีนี้ ทฤษฎีไหนน่าเชื่อมากกว่ากัน แน่นอน คำตอบคือทฤษฎีหลัง แต่แปลกไหม ทฤษฎีที่ได้รับความนิยม และยังคงถูกถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้กลับเป็นทฤษฎีแรก

เราว่าคำพูดของรุ่นพี่ที่ยกมาข้างบนน่าจะมีส่วนในการอธิบายปรากฏการณ์นี้ ทฤษฎี 9-11 (เรียกสั้นๆ ว่า The Truth) กำเนิดและรุ่งเรืองในยุคของอีเมลและเวบบอร์ด อีเมลเป็นการสื่อสารทางเดียวที่เจ้าลัทธิส่งข้อความไปยังสาวก ส่วนเวบบอร์ดก็เป็นพื้นที่ของผู้มีความคิดเห็นคล้ายๆ กัน มาสุมหัวถ่ายทอดความเชื่อของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ในทางตรงกันข้าม ทฤษฎีต้นกำเนิดของโอบามาอยู่ในโลกของ facebook นี่คือพื้นที่เปิดกว้างระหว่างการสื่อสารสองเส้นทาง ข้อมูลหรือวาทกรรมประเภทเสียดินแดนสิบสี่หนอาจจะถูกส่งต่อทางอีเมลได้ แต่ถ้าเอามาโพสบน facebook รับรองว่าไม่เกินอาทิตย์ จะถูกฝ่ายตรงข้ามและนักวิชาการเข้าไปตีตกทันที

เดวิด เรย์ กริฟฟิน เจ้าลัทธิ The Truth เคยให้สัมภาษณ์ว่า ความเชื่อ "อย่างเป็นทางการ" (โอซามา บินลาเดน เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลัง 9-11) เกิดมาจากข้อถกเถียงแบบอนุมาน (deductive argument) หมายความว่า ภายใต้ห่วงโซ่ของเหตุและผล ถ้ามีห่วงเส้นเดียวที่อ่อนแอ หรือไม่สมเหตุสมผล ทฤษฎีแบบนี้จะพังทลายทันที ส่วนทฤษฎี The Truth เป็นข้อถกเถียงแบบทับทวี (cumulative argument) ถ้าคุณจะโต้แย้งฉัน คุณต้องโต้แย้งความจริงทั้งหมดของฉัน

นักสมคบคิดเชี่ยวชาญในการหาความจริงแต่ละข้อๆ มาให้เราโต้แย้ง และการที่เราตีความจริงตกลงไปข้อหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้สำเหนียกแม้แต่น้อย ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ในตรรกะของตัวเอง (เช่น การขึ้นทะเบียนมรดกโลกต้องอาศัยพื้นที่ 1.4 ล้านไร่ ถ้าเขมรขึ้นทะเบียนปราสาท ก็จะได้ดินแดนกินประเทศไทยเข้ามา ทั้งที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีพื้นที่แค่ 1810 ไร่เท่านั้น จบเรื่องนี้ก็ต่อด้วย ประเทศไทยต้องเสียเงินให้ UN ปีละ 30 ล้านบาท แต่เท่าที่เช็คจากมรดกโลกแห่งอื่นๆ ค่าใช้จ่ายสารัตถะทั้งหมดคือสี่แสนบาทต่อปีต่อมรดกโลกหนึ่งแห่งเท่านั้น)

ข้อถกเถียงแบบทับทวี ก็คือการเอาข้อสังเกต (จริงบ้าง มั่วบ้าง) มาประกอบกัน อาศัย "ความเต็มใจ" ของผู้ฟังหลายๆ คนช่วยกันเติมแต่ง ปั้นน้ำเป็นตัว จึงไม่น่าแปลกใจว่าข้อถกเถียงแบบทับทวีมักจะมาพร้อมกับวาทกรรมปลุกใจ โฆษณาชวนเชื่อ (ตะวันตกเลว เขมรจอมหักหลัง สยามดีตัลหลอด และถูกต่างชาติรังแกตัลหลอด) นักทฤษฎีสมคบคิดจะไม่สร้างเหตุผลให้เราเชื่อ แต่จะล้างสมองให้เราอยากเชื่อนั่นเอง

2 comments:

B said...

เราว่ากรณีของโอบามา มันไม่แพร่หลาย เพราะ who cares? มากกว่า

ในขณะที่กรณีของบุช มันเป็นเรื่องใหญ่ที่จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ มันก็เลยมีชีวิตเติบโตแตกแขนงต่อยอดไปได้ยาวกว่าเยอะ

Anonymous said...

ขอบคุณครับ ตามอ่านเรื่อยๆ