A. Camus's "The Fall"


เราคงไม่เสแสร้งว่าตัวเองเข้าใจ The Fall หรือปรัชญาอัตถิภาวนิยมหรอก ไม่ว่าจะของกามูส์ นิทเช่ หรือสายไหนก็ตาม ส่วนตัวเราเชื่อว่าอัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาที่ล้าสมัยไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สนุกกับการพยายามตีความสิ่งที่คนในอดีตต้องการนำเสนอ

เมื่อเอา The Fall ไปเทียบกับนิยายเล่มอื่นๆ ของกามูส์ก็พอจะเห็นภาพเลือนรางปรากฏชัดเจนขึ้น แปลกดีว่า ขณะที่ "คนเหนือมนุษย์" ของนิทเช่คือผู้ตื่น เข้าใจ และเบิกบาน "คนเหนือมนุษย์" ของกามูส์มักจะกลายเป็นผู้พ้ายแพ่ต่อชีวิต ใน คนนอก กามูส์ออกข้างถือหางตัวเอก เมอโซ ถึงแม้เขาจะมีจุดจบอันแสนเศร้า นัยยะที่แฝงไว้คือเป็นสังคมต่างหากที่ผิดปรกติ (ลงโทษเมอโซเพียงเพราะเขาไม่ยอมร้องไห้ในงานศพแม่ตัวเอง) ใน The Fall ตอบยากเหมือนกันว่าคนเขียนคิดยังไงกับฌองแบบติส

เนื้อเรื่อง The Fall ไม่มีอะไรเลย ฌองแบบติส ตัวเอกของเรื่อง เป็นทนายความ เป็นคนดีพอใช้ มีเมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ข้อเสียประการเดียวที่บุคคลภายนอกพอจะจับเค้าได้คือความเจ้าชู้ (ซึ่งในสมัยนั้น อาจไม่ได้จัดเป็นข้อเสียรุนแรงอะไรนัก) ชีีวิตของฌองแบบติสสมบูรณ์แบบทุกอย่าง กระทั่งวันหนึ่งเขาเดินผ่านสะพานตอนกลางคืน และได้ยินเสียงผู้หญิงกระโดดลงน้ำ การที่ฌองแบบติสลังเลไม่ยอมกระโดดตามไปช่วยผู้หญิงคนนั้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปชั่วนิรันดร

เราตีความว่าสิ่งที่กามูส์ต้องการวิพากษ์วิจารณ์คือศาสนาและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งพยายามสร้างกฏหมายและกฎศีลธรรมมากำกับการกระทำของสมาชิกในสังคม แต่เอาเข้าจริง ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็ "ไม่เพียงพอ" (ขณะที่นิทเช่น่าจะมองสวนทางว่าสิ่งเหล่านี้ "มากเกินไป") มนุษย์เราสามารถใช้ชีวิตไหลเวียนอยู่ในทั้งสองระบบนี้ เป็นประชาชนที่ดีของรัฐ เป็นคริสตศาสนิกชนที่ดี แต่ลึกๆ เขาอาจจะมีความเลวร้ายแฝงอยู่ในแก่น ในขั้วเลยก็ได้ ศาสนาหรือกฎหมาย ในทางตรงกันข้าม เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดความรู้สึกผิดในการกระทำสิ่งเลวร้ายต่างหาก

แนวคิดนี้น่าจะตรงข้ามกับนิทเช่ เท่าที่เราเข้าใจนิทเช่มองว่าทุกอย่างต้อง "เหนือกว่าความดีและความเลว" กามูส์มองว่าความดีและความเลวนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่ไม่ได้ถูกนิยามด้วยระบบอะไรก็ตามแต่ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แม้ว่าจะมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เข้าใจว่าอะไรคือความดีและความเลว ปัจเจกต้องเป็นทั้งผู้พิพากษา โจทย์ จำเลย ทนาย และลูกขุน ตัดสินคดีด้วยมาตรฐานที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง เราจึงจะเข้าถึงความดีงามที่แท้จริงได้ (ซึ่งในที่สุดก็อาจจะวนกลับมาหาสิ่งที่นิทเช่เชื่ออยู่ดี)

No comments: