T. Mann's "Death in Venice"


ถ้ามีใครสักคน เดินเข้าไปถามโทมัส มานน์ว่านักเขียนต่างจากคนธรรมดาตรงไหน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมผู้นี้คงตอบว่า "A writer is a person for whom writing is more difficult than it is for other people." (นักเขียนคือผู้ที่มีปัญหาในการเขียนมากกว่าคนปรกติ)

ตลอดช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา เกิดกระแสอย่างหนึ่งในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เหมือนผู้สร้างพยายามสื่อสารกับคนดูว่าศิลปินก็คือบุคคลทั่วไป มีรัก โลภ โกรธ หลง มีปัญหา มีช่วงเวลาเหงา และอ่อนแอประหนึ่งคนเดินถนนคนหนึ่ง (ดูตัวอย่างได้จากเรย์ ดีเลิฟลี่ บียอร์นเดอะซี วอล์คเดอะไลน์ เชคสเปียรย์อินเลิฟ หรือไอริช) ก็เป็นไอเดียสามัญสไตล์อเมริกันว่ามนุษย์เท่าเทียมกันหมด ผู้ที่ซื้อตั๋วมาชมภาพยนตร์ดูจบจะได้รู้สึกดีว่า เออ! ศิลปินก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากฉันนั่นแหละ...

ไม่มีอะไรจะผิดจากความจริงมากไปกว่านี้แล้ว

ความตายในเวนิชคือรวมเรื่องสั้นของโทมัส มานน์ ประเด็นหลักซึ่งปรากฏในแทบทุกเรื่องคือ "ศิลปินไม่ใช่คนธรรมดา" ศิลปินสัมผัสความเจ็บปวดซึ่งคนทั่วไปไม่มีวันเข้าใจ มองเห็นความสวยงามในแบบที่ไม่เหมือนคนปรกติ และเผชิญหน้ากับความเหงา ทุกข์ตรมซึ่งไม่อาจหยั่งรู้ได้ ตัวเอกของเรื่อง "ความตายในเวนิช" "โทนีโอ ครูเกอร์" และ "ทริสแทน" ล้วนแล้วแต่เป็นนักเขียน เป็นการยากที่คนอ่านทั่วไปจะเข้าใจสาเหตุของ "ความตายในเวนิช" ทำไมโทนีโอ ครูเกอร์จึงไม่อาจมีความสุข และอะไรคือใจความซึ่งซ่อนอยู่ในจดหมายซึ่งสปัลส่งไปหาสามีของผู้หญิงที่ตนแอบหลงรัก กระนั้นชีวิตอันแสนเศร้าของเหล่าตัวละคร ผ่านปลายปากกา "ชายผู้มีปัญหาในการเขียน" คงอดไม่ได้ที่จะหลอกหลอน ติดตามเราไปหลังจากปิดหนังสือแล้ว

ในชุดนี้ยังมีเรื่อง "มาริโอ และนักมายากล" เรื่องสั้นการเมืองซึ่งเฉียบแหลมที่สุดเรื่องหนึ่ง สื่อให้เห็นอิทธิพลของนักเผด็จการที่มีต่อเหยื่อ หรือประชาชน คาปริชิโอคือนักสะกดจิตที่สามารถเสกให้คนดูลุกขึ้นมาทำเรื่องน่าเกลียดน่ากลัว "ความยุ่งเหยิง และโศกเศร้า" ว่าด้วยบิดาผู้เฝ้ามองความรักอันไม่สมหวังครั้งแรกของธิดาสาว "โลหิตแห่งวัลซัง" เล่าเรื่องพี่น้องฝาแฝดอันมีความรักวิปริต เปรียบเทียบกับตัวละครในโอเปร่าชิ้นเอกของวาคเนอร์

สิ่งหนึ่งซึ่งสัมผัสได้จากหนังสือแทบทุกเล่มของมานน์คือ "สังคมอันล่มสลาย" ผู้ใหญ่ที่เฝ้ามองโลกตกอยู่ในมือของเด็กรุ่นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงที่แม้จะเกิดจากใจใสซื่อบริสุทธิ์ และหวังดี แต่ไม่จำเป็นต้องออกดอกออกผลในแง่บวกเสมอไป กว่าจะรู้สึกตัวอีกที สิ่งเก่าๆ ที่สวยงามก็ถูกทำลายไม่เหลือหลอแล้ว

No comments: