D. Fisher's "The War Magician"


ทั้งที่เป็นคนชอบประวัติศาสตร์ แต่ genre หนึ่งซึ่งรักชวนหัวแสนจะไม่เคลิบเคลิ้มคือ "เรื่องเล่าประวัติศาสตร์" (historical narrative) หนังสือประเภทนี้คล้ายกับสารคดี เกิดจากการค้นคว้าอย่างหนักหน่วงของนักประวัติศาสตร์ ประกอบสร้างเหตุการณ์ในอดีตจากหลักฐานความจริงที่ไปขุดคุ้ยมา เรื่องเล่าประวัติศาสตร์จะมีสภาวะกึ่งนิยายกึ่งสารคดี วิธีการเล่าเรื่องเหมือนจะเป็นสารคดี แต่การนำเสนอมุ่งสร้างภาพลักษณ์แบบนิยายมากกว่าแค่การให้ข้อมูล

ข้อเสียของหนังสือประเภทนี้คือ อาจเป็นด้วยว่า กว่าจะค้นข้อมูลแต่ละตัวมาเหนื่อยแสนเหนื่อย รากเลือดแสนรากเลือด ผู้เขียนก็เลยมีแนวโน้มที่จะบรรจุทุกอย่างลงไป หนังสือเรื่องเล่าประวัติศาสตร์มักมีขนาดยาว ตั้งแต่ถือจับอยู่ในมือมา ไม่เคยเห็นเล่มไหนเลยที่ต่ำกว่าสามร้อยหน้า กว่าจะอ่านจบ เรามักรู้สึกว่า "หัวข้อสนุกดี แต่หนังสือไม่สนุกเท่าไหร่"

ชีวิตของแจสเปอร์ มาสเคลินน่าติดตามมากๆ สงสัยทำไมไม่ค่อยมีใครพูดถึง ไม่เคยมีใครเอามาสร้างเป็นหนัง เขาเป็นนักมายากลชาวอังกฤษ ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นหัวหน้าหน่วยพรางตา บทบาทของมาสเคลินคือการเปลี่ยนรถบรรทุกให้กลายเป็นรถถัง เพื่อหลอกให้นาซีคิดว่าอังกฤษมีกองทัพที่ใหญ่กว่าความเป็นจริง และในบางโอกาส เปลี่ยนรถถังเป็นรถบรรทุก เพื่อหลอกให้คิดว่ากองทัพเล็กกว่า นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปกป้องชัยภูมิสำคัญ เช่น ซ่อนเมืองท่าจากฝูงบินทิ้งระเบิด หรือซ่อนคลองสุเอซทั้งคลอง นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับสายลับอีกด้วย

แต่ที่น่าจดจำที่สุด กลับเป็นเรื่องราวก่อนมาสเคลินมาอยู่หน่วยพรางตา สมัยที่เขายังเป็นแค่พลทหารธรรมดา ผู้บัญชาการสั่งให้เขาไปเจรจากับพระราชาแห่งเมืองหนึ่งในประเทศอียิปต์ โดยพระราชาคนนี้มีชื่อเสียงขจรไกลในฐานะผู้ใช้เวทมนต์ ฉากที่ตระการตาเอามากๆ (และสมควรถูกสร้างเป็นหนังมากๆ ) คือมาสเคลินต้องดวลเวทมนต์กับพระราชา โดยต่างฝ่ายต่างเสกนู่นเสกนี่ออกมา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเวทมนต์ของตัวเองเหนือกว่า

เรื่องราวของมาสเคลินก็สนุกดี แต่ที่เราว่าน่าสนใจจริงๆ คือศิลปะการพรางตาและการประกอบมายากลเข้ากับการศึก เหล่านี้ไม่ใช่มาสเคลินเป็นคนรังสรรค์ขึ้นมา แท้จริงก็มีอยู่ตั้งนานแล้ว อย่างรอมแมล ผู้บัญชาการนาซีในทวีปแอฟริกา ก็ใช้เทคนิคคล้ายๆ กันนี้เพื่อสร้างภาพลวงตาหลอกข้าศึก ประเด็นนี่ต่างหากที่เราว่าน่าอ่านมากกว่าเรื่องราวของคนเพียงคนเดียว พูดตรงๆ มาสเคลินก็ไม่ใช่คนที่น่าสนใจขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ เหมือนวันๆ เขาจะคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะสร้างชื่อเสียง สู้รบปรบมือกับนาซีได้อย่างไร

No comments: