Impossibility is the saddest word.


เห็นภาพกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดสี่แยกราชประสงค์แล้วนึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ผู้หญิงที่เราเคยชอบทำงานอยู่ห้างเซนทรัลเวิร์ลนี่แหละ เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุการณ์ปิดสี่แยก เธอโพสต์ลงเฟสบุ๊คว่าแฟนนอกใจและครั้งนี้ไม่ใช่หนแรก กำลังลังเลอยู่ว่าจะยกโทษให้เขาได้อย่างไรและสมควรยกโทษไหม

แปลกที่เราไม่ยักกะรู้สึกเหมือนในเพลงของลิลลี อัลเลน มันกลับเจ็บตันๆ อดคิดไม่ได้ว่าหากสองปีก่อน สาวเซนทรัลยอมคบกับเรา วันนี้เราสองคนอาจมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้ คิดเข้าข้างตัวเองคือเราน่าจะดีกว่าคนที่นอกใจเธอ

แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเราไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรที่ดีที่สุด แต่ทันทีที่เราตัดสินใจเลือกไปแล้ว นั่นก็คือหนทางเพียงหนึ่งเดียว และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไปโดยปริยาย (เพราะถึงอย่างไรความจริงก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น)

เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดกับเราเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผู้หญิงที่เราชอบมากๆ ก็เปลี่ยนใจไปคบกับผู้ชายเจ้าชู้ เราจำความรู้สึกตอนนั้นได้ ที่ทรมาณที่สุดไม่ใช่เจ็บปวดเพราะผิดหวังในรัก แต่เป็นความรู้สึกว่า หากรักแท้ยังไม่อาจชนะใจคน แล้วโลกเราจะยังเหลืออะไรให้ยึดมั่นต่อไปอีก

สิบปีผ่านไป เหตุการณ์คล้ายๆ เดิม ในวันนี้เราได้แต่นั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ อ่านเฟสบุ๊คของสาวเซนทรัล เราคุ้นชินกับโลกที่บิดเบี้ยวเสียแล้วละ เราไม่โทษ ไม่สมน้ำหน้าใคร เรารู้ดีว่าต่อให้ย้อนอดีตกลับไปได้ ต่อให้ผู้หญิงทั้งคู่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง พวกเธอก็จะยังคงเลือกแบบที่ตัวเองเลือกอยู่ดี

นึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในขายหัวเราะ จำไม่ได้แล้วว่าใครเขียน เรื่องของเทวดาที่แปลงกายมาเป็นหมอดูตามท้องสนามหลวง ผู้ชายคนหนึ่งมาปรึกษาเทวดาว่าจะเลือกแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนดี ระหว่างดาราสาวกับครู หมอดูให้หนุ่มคนนั้นจ้องลูกแก้ว เขาเห็นอนาคตที่แต่งงานกับดาราสาวว่าเต็มไปด้วยความระหองระแหงและบาดหมาง ขณะที่อนาคตกับครูคือครอบครัวอันอบอุ่น (อะไรจะน้ำเน่าปานนั้น) พอชายหนุ่มถามเทวดาว่า “ลุงทำแบบนี้ได้อย่างไร” (คือเสกภาพบนลูกแก้วได้อย่างไร) เทวดาก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ภาพที่เห็นนี้คือคำตอบในจิตสำนึกของเจ้า”

เรื่องสั้นนี้ยังมาขมวดปมตอนท้ายว่าพอชายหนุ่มกลับไปแล้ว เทวดาเสกลูกแก้วอีกที เห็นว่าชายหนุ่มตัดสินใจแต่งงานกับดาราสาว เทวดาจึงส่ายหัวสมเพชมนุษย์ที่หลงวนเวียนอยู่ในกิเลส

มาวันนี้เรากลับเข้าใจชายหนุ่ม เทวดาตนใดก็ไม่มีสิทธิมาตัดสินว่า ครอบครัวอันอบอุ่นมันสูงล้ำเลอเลิศไปกว่าความรักอันร้อนแรง การได้ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา แม้จะต้องเจ็บปวดทุกข์ทนในภายหลัง นั่นต่างหากคือคุณค่าของการมีชีวิต การทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นธรรมชาติอันแสนเศร้า แต่ก็เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในตัวมนุษย์ด้วย

(หมายเหตุ: เราไม่เห็นด้วยกับการปิดสี่แยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดง คงเป็นประเด็นที่มีคนถกเถียงกันไปอีกนานว่าเทียบกับพันธมิตรปิดสนามบินอะไรเสียหายร้ายแรงกว่ากัน อะไรชอบธรรมกว่ากัน แต่ในความเห็นเรา มันเป็นการสูญเสียมวลชนบางส่วนที่อยู่ตรงกลาง และในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเริ่มเหหันมาทางเสื้อแดงมากขึ้น อยากให้แกนนำคำนึงถึงกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพ ชนชั้นกลางทุกคนจะต้องต่อต้านเสื้อแดงเสมอไป ที่อยู่กลางๆ และพร้อมจะเปิดใจยอมรับพี่น้องชาวชนบทก็คาดว่ามีอยู่ไม่น้อย)

2 comments:

simplyme said...

I have to agree with you based on my direct experience with my relationships. What brings me the most happiness also brings me the worst pain. But if there's an option to redo it all over, I would still choose the same path. I guess sometimes people don't operate on the basis of average happiness but instead on the peak they can reach. When they're young, they would pay whatever price required to get the high. Only after they get older, live at slower pace, and realize how much they hate spending time at the bottom of the pit, would they get back their sense and would decide to go with average happiness or 'safe bet' instead.

In my opinion, falling crazily in love is a young people sport. Just like snowboarding, it is reserved for people who's not afraid to fall and break some bones, and have enough energy to get back on their feet again and again and again. Apparently, not for me anymore.

laughable-loves said...

"I guess sometimes people don't operate on the basis of average happiness but instead on the peak they can reach." เห็นด้วยกบๆ กับประโยคนี้ครับ