The Years เริ่มต้นจากบทความของวูล์ฟ เกี่ยวกับบทบาทต่างๆ ของผู้หญิงในช่วงรอยต่อศตวรรษที่ 19 และ 20 จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ทีแรกวูล์ฟตั้งใจจะเขียนเป็นเรื่องแต่งสั้นๆ ประกอบบทความ แต่เขียนไปเขียนมาคงติดใจ ก็เลยเอามาผนวกรวมกันเป็นนิยาย ส่วนตัว เราคิดว่าเราน่าจะสนุกกับบทความผสมเรื่องสั้นมากกว่านิยายเล่มนี้
ถึงจะดูล่องลอยไร้แก่นสารไปนิด (สมกับที่มันมาจากบทความ) แต่ The Years ก็แสดงให้เห็นอัจฉริยะภาพบางอย่างของวูล์ฟ เพื่อนเราคนหนึ่งที่เป็นนักวิจารณ์หนัง บอกว่าหนึ่งในบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยอ่าน เขียนโดยเวอจิเนีย วูล์ฟ ทั้งที่ในยุคของเธอ ภาพยนตร์เพิ่งจะเริ่มหัดเดินแท้ๆ จุดเด่นของวูล์ฟคือเธอเป็นนักทดลองทางวรรณกรรม การทดลองของวูล์ฟไม่เหมือนกับวรรณกรรมแนวทดลองในปัจจุบัน มันชวนให้เรานึกถึงพวกผู้กำกับ French New Wave การทดลองไม่ใช่เพื่อการทดลอง แต่เพื่อค้นหาเทคนิคใหม่ๆ ในการเล่าเรื่อง เราเดาว่าจิตวิญญาณแห่งการทดลองแบบนี้กระมังที่ดึงดูดวูล์ฟเข้าหาศิลป์/ศาสตร์ยุคใหม่อย่างภาพยนตร์ (ซึ่งในยุคแรก ก็เต็มไปด้วยการทดลอง)
ประโยคซึ่งอธิบาย thesis การทดลองของวูล์ฟใน The Years ได้เป็นอย่างดีคือ "ถ้าเราบันทึกบทสนทนาของคนจริงๆ ลงบนกระดาษ มันจะต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ " The Years เล่าเรื่องด้วยบทสนทนาน่าเบื่อๆ แบบนี้เกินร้อยละ 80 อย่างไรก็ดีภายใต้ความน่าเบื่อนั้น มันก็แฝงแก้วมณีเอาไว้เป็นระยะๆ บางจังหวะ บางบรรทัดของการเล่าเรื่องส่องให้เราเห็นแก่นแท้และธรรมชาติของตัวละครได้อย่างสวยงาม
เราชอบ The Years ในฐานะการทดลองที่มีเสน่ห์ มากกว่าจะพูดได้อย่างเต็มปากว่านี่คือนิยายที่ชวนอ่าน แถมมันก็ยาวตั้งสี่ร้อยกว่าหน้าแน่ะ (แม้จะเต็มไปด้วยบทสนทนา อ่านแป๊บๆ จบก็ตาม)
A. Perez-Reverte's "The Fencing Master"
ว่ากันว่าฟันดาบเป็นกีฬาที่ใช้สติปัญญามากกว่าความแข็งแกร่งของร่างกาย บางคนถึงกับเรียกกีฬาชนิดนี้ว่า "หมากรุกมนุษย์" ก็ไม่รู้นะว่าจริงหรือเปล่า แต่เราจบมาจากโรงเรียนเด็กเรียน ที่ไม่โดดเด่นด้านกีฬาใดเลย ยกเว้นฟันดาบนี่แหละ ที่พอจะสร้างชื่อเสียงกับเขาได้บ้าง (ไม่นับ "กีฬา" ประเภท "รูบิก" ซึ่งระดับแชมป์โลกกันเลยทีเดียว) ก็แสดงว่าที่เขาลือๆ กัน ก็มีเค้ามีมูลอยู่
ก็คงเป็น fate กระมังที่ส่ง The Fencing Master เข้ามือเรา หลังจากเพิ่งอ่าน Murder in Byzantium จบหยกๆ สองเล่มนี้ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง Murder in Byzantium คือนิยายที่โคตรฉลาด แต่ปราศจาก passion ส่วน The Fencing Master ก็แทบไม่มีอะไรเลยนอกจาก passion ในฐานะนิยายสืบสวนสอบสวน มันโปร่งใสเอามากๆ อ่านไปหนึ่งในสี่เล่ม ก็เดาเรื่องได้ทะลุปรุโปร่ง กระทั่งว่าฉากสุดท้ายจะลงเอยยังไง ก็ไม่เหนือความคาดหมายเลย
ที่น่าเย้ยหยันกว่า สำหรับเรา คือการวาดภาพสเปนช่วงที่เกิดเรื่อง (ศตวรรษที่ 19) ไม่ว่าจะด้านการบรรยาย สีสันท้องถิ่น หรือที่สำคัญที่สุด ประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งเป็นเบื้องหลังของเหตุการณ์สำคัญๆ เพเรซ-ริเวอเตสอบตกในทุกกรณี ที่เราหงุดหงิดเป็นพิเศษก็เรื่องการเมือง คนเขียนใช้ตุ๊กตาสองตัว ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน มาตะโกนใส่กันแบบตื้นๆ (ถ้า The Fencing Master สะท้อนรสนิยมการเมืองของผู้เขียน ก็น่าขบคิดตรงทำไมคนที่มีจุดยืนการเมืองแบบตัวใครตัวมัน สุดท้ายแล้วก็มักจะออกแนวอนุรักษนิยมโดยไม่รู้ตัว)
เหมือนจะจัดหนัก แต่เอาเข้าจริง อย่างที่เกริ่นคราวที่แล้ว passion เท่านั้นที่ make or break หนังสือ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพเรซ-ริเวอเตรักตัวละครเอกสองตัวของเขาเอามากๆ รวมถึงวิชาการฟันดาบด้วย อย่างน้อยในช่วงเริ่มเรื่อง ที่สองตัวละครนี้เด่นเป็นพิเศษ มันก็เต็มไปด้วย passion ชวนให้อ่านจริงๆ นั่นแหละ
ก็คงเป็น fate กระมังที่ส่ง The Fencing Master เข้ามือเรา หลังจากเพิ่งอ่าน Murder in Byzantium จบหยกๆ สองเล่มนี้ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง Murder in Byzantium คือนิยายที่โคตรฉลาด แต่ปราศจาก passion ส่วน The Fencing Master ก็แทบไม่มีอะไรเลยนอกจาก passion ในฐานะนิยายสืบสวนสอบสวน มันโปร่งใสเอามากๆ อ่านไปหนึ่งในสี่เล่ม ก็เดาเรื่องได้ทะลุปรุโปร่ง กระทั่งว่าฉากสุดท้ายจะลงเอยยังไง ก็ไม่เหนือความคาดหมายเลย
ที่น่าเย้ยหยันกว่า สำหรับเรา คือการวาดภาพสเปนช่วงที่เกิดเรื่อง (ศตวรรษที่ 19) ไม่ว่าจะด้านการบรรยาย สีสันท้องถิ่น หรือที่สำคัญที่สุด ประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งเป็นเบื้องหลังของเหตุการณ์สำคัญๆ เพเรซ-ริเวอเตสอบตกในทุกกรณี ที่เราหงุดหงิดเป็นพิเศษก็เรื่องการเมือง คนเขียนใช้ตุ๊กตาสองตัว ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน มาตะโกนใส่กันแบบตื้นๆ (ถ้า The Fencing Master สะท้อนรสนิยมการเมืองของผู้เขียน ก็น่าขบคิดตรงทำไมคนที่มีจุดยืนการเมืองแบบตัวใครตัวมัน สุดท้ายแล้วก็มักจะออกแนวอนุรักษนิยมโดยไม่รู้ตัว)
เหมือนจะจัดหนัก แต่เอาเข้าจริง อย่างที่เกริ่นคราวที่แล้ว passion เท่านั้นที่ make or break หนังสือ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพเรซ-ริเวอเตรักตัวละครเอกสองตัวของเขาเอามากๆ รวมถึงวิชาการฟันดาบด้วย อย่างน้อยในช่วงเริ่มเรื่อง ที่สองตัวละครนี้เด่นเป็นพิเศษ มันก็เต็มไปด้วย passion ชวนให้อ่านจริงๆ นั่นแหละ
J. Kristeva's "Murder in Byzantium"
passion นี่มัน break or make หนังสือได้จริงๆ ถึงสำนักพิมพ์และนักวิจารณ์จะเอา Murder in Byzantium ของจูเลีย คริสเทวา ไปเปรียบเทียบกับ The Name of the Rose -- ก็เข้าใจได้แหละ เพราะนิยายนักสืบทุกเล่ม ย้ำ...ทุกเล่ม ที่พยายามเป็นมากกว่านิยายนักสืบ ก็ย่อมต้องโดนเอาไปเปรียบเทียบกับผลงานชิ้นเอกของเอโคอยู่แล้ว -- แต่จุดต่างมหันต์เลยคือ เอโคเป็นแฟนนิยายสืบสวนสอบสวน โดยเฉพาะอกาธา คริสตี้ ในชุดการบรรยายรับเชิญที่ฮาวาร์ด เอโคดุษฎีคริสตี้ไปเต็มๆ หนึ่งการบรรยาย ขณะที่คริสเทวา เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าแม่ นักปรัชญาสตรีนิยม อย่างเธอคิดยังไงกับนิยายสืบสวนสอบสวน แต่ให้เดาจาก Murder in Byzantium คริสเทวาน่าจะชิงชังมันทีเดียว
เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ราวกับต้องการรื้อถอน (ไม่ใช่รื้อสร้าง) นิยายสืบสวนสอบสวน เริ่มจากการเล่นกับความห่วยของ genre นี้ สลับเกียร์เป็นนิยายปรัชญา/ประวัติศาสตร์ระหว่างทาง ซึ่งโอเค เรารับได้ เราสนุกกับอะไรแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอด ถ้าตัวคนเขียนเองยังมอบใจให้สิ่งที่ตัวเองเขียน ก็ยากนักจะเชื้อเชิญให้คนอ่านรักหนังสือเล่มนี้ได้
ในส่วนของปรัชญา/ประวัติศาสตร์ พออ่านได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ พอมันถูก frame อยู่ในนิยายสืบสวนสอบสวน ถ้ามันสอบตกในประเด็นหลังแล้ว ก็ยากนักที่เราจะยอมรับมันในประเด็นแรกด้วยได้ เป็นหนังสือน่าผิดหวัง แต่ก็ให้บทเรียนดีๆ แก่เราหลายอย่าง ในงานศิลปะ ยังไง passion ก็ต้องมาก่อน intellect จริงๆ
เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ราวกับต้องการรื้อถอน (ไม่ใช่รื้อสร้าง) นิยายสืบสวนสอบสวน เริ่มจากการเล่นกับความห่วยของ genre นี้ สลับเกียร์เป็นนิยายปรัชญา/ประวัติศาสตร์ระหว่างทาง ซึ่งโอเค เรารับได้ เราสนุกกับอะไรแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอด ถ้าตัวคนเขียนเองยังมอบใจให้สิ่งที่ตัวเองเขียน ก็ยากนักจะเชื้อเชิญให้คนอ่านรักหนังสือเล่มนี้ได้
ในส่วนของปรัชญา/ประวัติศาสตร์ พออ่านได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ พอมันถูก frame อยู่ในนิยายสืบสวนสอบสวน ถ้ามันสอบตกในประเด็นหลังแล้ว ก็ยากนักที่เราจะยอมรับมันในประเด็นแรกด้วยได้ เป็นหนังสือน่าผิดหวัง แต่ก็ให้บทเรียนดีๆ แก่เราหลายอย่าง ในงานศิลปะ ยังไง passion ก็ต้องมาก่อน intellect จริงๆ
W. Bernstein's "A Splendid Exchange"
ยิ่งอ่าน ยิ่งศึกษา ก็ยิ่งรู้ว่า จริงๆ แล้ว รัฐชาตินี่มันเป็น "สิ่งประดิษฐ์" ที่มาทีหลังโลกาภิวัฒน์ชัดๆ ตั้งแต่ยุคหินเลย สุดยอดแห่งเทคโนโลยีสมัยนั้นก็คือใบมีดที่แกะสลักมาจากหินออปซิเดียน แต่หินออปซิเดียนไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะมีอยู่เฉพาะบริเวณที่ยังมีการปะทุของภูเขาไฟเท่านั้น ดังนั้นการแพร่กระจายของใบมีดออปซิเดียนไปทั่วโลก ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการค้าขาย ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนยุครัฐชาติเสียอีก
หรือเขยิบขึ้นมาหน่อย ปัจจุบันนี้เราพูดถึง การพึ่งพิงพลังงานเชื้อเพลิงจาก "รัฐอันตราย" ในตะวันออกกลาง แต่เอาเข้าจริงความเปราะบางของสถานการณ์เทียบไม่ติดฝุ่นเลยกับยุคเมโสโปเตเมีย เมโสโปเตเมียเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรก เพราะความอุดมสมบูรณ์ของดินก็จริง แต่ต้องไม่ลืม ยิ่งดินร่วนเหมาะแก่การเพาะปลูกเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ค่อยมีแร่ธาตุเท่านั้น กลายเป็นว่าในอดีต อาณาจักรในเมโสโปเตเมียต้องพึ่งพิง ค้าขายกับเมืองของพวกป่าเถื่อนที่ถลุงแร่ สกัดโลหะนั่นเอง (ในประวัติศาสตร์ ประเทศแรกที่ใกล้เคียงกับภาวะ "พึ่งพิงตนเอง" ที่สุดก็คืออียิปต์ แต่กระนั้นอียิปต์ก็ไม่มีป่าไม้ ยังต้องนำเข้าซุงมาจากบาเรนห์)
ดังนั้นฟังหูไว้หูเวลาใครออกมาพูดเรื่องการปิดประเทศ การพึ่งพิงตัวเองด้วยเกษตรกรรมล้วนๆ มันไม่เคยมีจริงหรอก เป็นแค่นิทานหลอกเด็กที่แต่งขึ้นมาทีหลังเท่านั้นเอง
หรือเขยิบขึ้นมาหน่อย ปัจจุบันนี้เราพูดถึง การพึ่งพิงพลังงานเชื้อเพลิงจาก "รัฐอันตราย" ในตะวันออกกลาง แต่เอาเข้าจริงความเปราะบางของสถานการณ์เทียบไม่ติดฝุ่นเลยกับยุคเมโสโปเตเมีย เมโสโปเตเมียเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรก เพราะความอุดมสมบูรณ์ของดินก็จริง แต่ต้องไม่ลืม ยิ่งดินร่วนเหมาะแก่การเพาะปลูกเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ค่อยมีแร่ธาตุเท่านั้น กลายเป็นว่าในอดีต อาณาจักรในเมโสโปเตเมียต้องพึ่งพิง ค้าขายกับเมืองของพวกป่าเถื่อนที่ถลุงแร่ สกัดโลหะนั่นเอง (ในประวัติศาสตร์ ประเทศแรกที่ใกล้เคียงกับภาวะ "พึ่งพิงตนเอง" ที่สุดก็คืออียิปต์ แต่กระนั้นอียิปต์ก็ไม่มีป่าไม้ ยังต้องนำเข้าซุงมาจากบาเรนห์)
ดังนั้นฟังหูไว้หูเวลาใครออกมาพูดเรื่องการปิดประเทศ การพึ่งพิงตัวเองด้วยเกษตรกรรมล้วนๆ มันไม่เคยมีจริงหรอก เป็นแค่นิทานหลอกเด็กที่แต่งขึ้นมาทีหลังเท่านั้นเอง
P. K. Dick's "The Simulacra"
ว่ากันว่านิยายวิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากคำถาม What if? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นหุ่นยนต์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสังคมถูกปกครองโดย First Lady จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามียานย้อนเวลา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ติดต่อชาวดาวอังคาร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถอพยพไปอยู่บนดาวอังคารด้วยการนั่งต้นไม้บินได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆ นักเปียโนสติเฟื่องมีพลังจิตเทียบเคียงพระเจ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์พันธุ์ใหม่เตรียมตัวยึดครองโลก จะเกิดอะไรขึ้น ฯลฯ
The Simulacra น่าจะจัดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ของโลกในนิยายวิทยาศาสตร์อีกที เพราะไม่ใช่แค่ What if ตัวเดียวที่ถูกสมมติ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาในย่อหน้าข้างบนเกิดขึ้นในนิยายเล่มนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปเขียนอะไรแบบนี้ ต้องออกมาเละเทะแน่ๆ แต่มือระดับดิกแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ แค่หนังสือเล่มบางๆ สองร้อยกว่าหน้าเท่านั้น แต่ดิกสามารถบรรจุประเด็นต่างๆ ลงไปได้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ดี เราชื่นชมความสามารถในการเล่าเรื่องของดิก มากกว่าจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า The Simulacra เป็นนิยายที่ดี มันมีบางอย่างคล้ายคลึงกับ Candide เหมือนผู้เขียนสนใจจะพูดถึงความวิปลาศ วุ่นวาย และพังทลายของสังคม มากกว่าจะสร้างเรื่องราว หรือตัวละครที่คนอ่านอยากติดตามจริงๆ (มันมีกระทั่งวลี "ดูแลสวนของท่าน" แทรกอยู่แบบเนียนๆ )
เท่าที่อ่านมาประมาณสี่ห้าเล่ม เราแบ่งงานของดิกได้เป็นสองประเภทคร่าวๆ คือนิยายที่เน้นตัวละครเป็นตัวๆ ไป กับนิยายที่คนเขียนตั้งใจแสดงภาพความวุ่นวายของสังคม เราชอบนิยายประเภทแรกมากกว่า ขณะที่ The Simulacra จัดอยู่ในจำพวกหลัง อ่านเพลิน ทึ่งในความสามารถของผู้เขียน แต่ไม่ประทับใจ
The Simulacra น่าจะจัดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ของโลกในนิยายวิทยาศาสตร์อีกที เพราะไม่ใช่แค่ What if ตัวเดียวที่ถูกสมมติ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาในย่อหน้าข้างบนเกิดขึ้นในนิยายเล่มนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปเขียนอะไรแบบนี้ ต้องออกมาเละเทะแน่ๆ แต่มือระดับดิกแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ แค่หนังสือเล่มบางๆ สองร้อยกว่าหน้าเท่านั้น แต่ดิกสามารถบรรจุประเด็นต่างๆ ลงไปได้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ดี เราชื่นชมความสามารถในการเล่าเรื่องของดิก มากกว่าจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า The Simulacra เป็นนิยายที่ดี มันมีบางอย่างคล้ายคลึงกับ Candide เหมือนผู้เขียนสนใจจะพูดถึงความวิปลาศ วุ่นวาย และพังทลายของสังคม มากกว่าจะสร้างเรื่องราว หรือตัวละครที่คนอ่านอยากติดตามจริงๆ (มันมีกระทั่งวลี "ดูแลสวนของท่าน" แทรกอยู่แบบเนียนๆ )
เท่าที่อ่านมาประมาณสี่ห้าเล่ม เราแบ่งงานของดิกได้เป็นสองประเภทคร่าวๆ คือนิยายที่เน้นตัวละครเป็นตัวๆ ไป กับนิยายที่คนเขียนตั้งใจแสดงภาพความวุ่นวายของสังคม เราชอบนิยายประเภทแรกมากกว่า ขณะที่ The Simulacra จัดอยู่ในจำพวกหลัง อ่านเพลิน ทึ่งในความสามารถของผู้เขียน แต่ไม่ประทับใจ
V. S. Naipaul's "The Masque of Africa"
อดีตประธานาธิบดี Houphouet (สุดจะอ่านชื่อแกจริงๆ ) แห่งไอวอรีโคสต์มีฉายาว่า "ราชันจระเข้" เช่นเดียวกับผู้นำประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกา ภาพลักษณ์ของเขาต้องแฝงเอาไว้ซึ่งตำนานอันลี้ลับ ว่ากันว่า ก่อนจะก้าวขึ้นมาบนเส้นทางแห่งอำนาจ Houphouet ตัดร่างกายตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เอาแต่ละชิ้นไปต้มในหม้อสมุนไพร ระหว่างที่แม่หมอต้มไปบริกรรมคาถาไป ชิ้นส่วนของร่างกายแกเปลี่ยนเป็นงู ก่อนจะกลับกลายเป็นเนื้อมนุษย์อีกครั้ง
แต่เรื่องราวที่ถูกกล่าวขานถึงที่สุดของ Houphouet คือบ่อจระเข้ใจกลางเมืองหลวง Yamoussoukro เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง Houphouet สั่งให้ขุดบ่อขนาดใหญ่ และเอาจระเข้หลายร้อยตัวมาปล่อย ไม่มีใครรู้สาเหตุแน่ชัด แต่หลายคนคาดเดาว่าอาจเป็นข้อต่อรองบางอย่างระหว่าง Houphouet และวิญญาณภูตผี (จระเข้ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหลายชนเผ่าในแอฟริกา)
Houphouet ครองอำนาจจนถึงปี 1993 ถึงเรื่องเล่าข้างต้นจะทำให้แกดูเป็นหมอผีสติเฟื่อง แต่เอาเข้าจริงๆ แกเป็นประธานาธิบดีที่คนไอวอรีโคสต์บูชาที่สุดคนหนึ่ง ชาวไอวอรีโคสต์เทิดทูนแกเหมือนเทพเจ้า กระนั้นก็ตาม เมื่อเซอร์ไนปอลไปเยือนไอวอรีโคสต์ในปี 2008 (และบันทึกการเดินทางเอาไว้ใน The Masque of Africa ซึ่งนอกจากไอวอรีโคสต์ เซอร์ไนปอลยังไปเยือนอีกห้าหกประเทศในแอฟริกา) คนไอวอรีโคสต์กำลังอยู่ในกระบวนการแห่งการลืมเลือน บ่อจระเข้ไม่ใช่ของน่าตื่นเต้นอีกต่อไป น้ำในบ่อกลายเป็นสีดำ และเฉพาะเวลาให้อาหารเท่านั้น คนจึงจะเห็นจระเข้ผุดขึ้นมาแย่งกินไก่เป็นๆ
เซอร์ไนปอลตั้งข้อสังเกตว่าการลืมเลือนไม่ใช่หมายถึงแค่การไม่จำ หรือสภาพไร้ความทรงจำ แต่เป็นการกระทำที่ต้องอาศัยพลังงานมากมาย และมีข้อแลกเปลี่ยนมหาศาล ไม่กี่วันก่อนการมาเยือนของไนปอล เกิดอุบัติเหตุกำแพงถล่มในสนามฟุตบอลที่สร้างเป็นเกียรติแก่ Houphouet และตั้งแต่นั้น ก็เริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาความศักดิ์สิทธิ์ของอดีตผู้นำอันเป็นที่รักคนนี้
เรามีคำพูดติดปากว่า "คนไทยลืมง่าย" ซึ่งเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับอีกคำพูดหนึ่งว่า "คนไทยรักสบาย" ราวกับว่า เพราะเรารักสบาย ขี้เกียจจดจำ เราก็เลยลืมง่าย แต่บางทีอาจจะในทางตรงกันข้าม คนไทยอาจจะ "ขยัน" อย่างไม่น่าเชื่อ หรือมีขุมพลังงานพิเศษบางอย่างที่ผลิตการลืมเลือนให้แก่เราได้อย่างไม่อั้น
แต่เรื่องราวที่ถูกกล่าวขานถึงที่สุดของ Houphouet คือบ่อจระเข้ใจกลางเมืองหลวง Yamoussoukro เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง Houphouet สั่งให้ขุดบ่อขนาดใหญ่ และเอาจระเข้หลายร้อยตัวมาปล่อย ไม่มีใครรู้สาเหตุแน่ชัด แต่หลายคนคาดเดาว่าอาจเป็นข้อต่อรองบางอย่างระหว่าง Houphouet และวิญญาณภูตผี (จระเข้ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหลายชนเผ่าในแอฟริกา)
Houphouet ครองอำนาจจนถึงปี 1993 ถึงเรื่องเล่าข้างต้นจะทำให้แกดูเป็นหมอผีสติเฟื่อง แต่เอาเข้าจริงๆ แกเป็นประธานาธิบดีที่คนไอวอรีโคสต์บูชาที่สุดคนหนึ่ง ชาวไอวอรีโคสต์เทิดทูนแกเหมือนเทพเจ้า กระนั้นก็ตาม เมื่อเซอร์ไนปอลไปเยือนไอวอรีโคสต์ในปี 2008 (และบันทึกการเดินทางเอาไว้ใน The Masque of Africa ซึ่งนอกจากไอวอรีโคสต์ เซอร์ไนปอลยังไปเยือนอีกห้าหกประเทศในแอฟริกา) คนไอวอรีโคสต์กำลังอยู่ในกระบวนการแห่งการลืมเลือน บ่อจระเข้ไม่ใช่ของน่าตื่นเต้นอีกต่อไป น้ำในบ่อกลายเป็นสีดำ และเฉพาะเวลาให้อาหารเท่านั้น คนจึงจะเห็นจระเข้ผุดขึ้นมาแย่งกินไก่เป็นๆ
เซอร์ไนปอลตั้งข้อสังเกตว่าการลืมเลือนไม่ใช่หมายถึงแค่การไม่จำ หรือสภาพไร้ความทรงจำ แต่เป็นการกระทำที่ต้องอาศัยพลังงานมากมาย และมีข้อแลกเปลี่ยนมหาศาล ไม่กี่วันก่อนการมาเยือนของไนปอล เกิดอุบัติเหตุกำแพงถล่มในสนามฟุตบอลที่สร้างเป็นเกียรติแก่ Houphouet และตั้งแต่นั้น ก็เริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาความศักดิ์สิทธิ์ของอดีตผู้นำอันเป็นที่รักคนนี้
เรามีคำพูดติดปากว่า "คนไทยลืมง่าย" ซึ่งเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับอีกคำพูดหนึ่งว่า "คนไทยรักสบาย" ราวกับว่า เพราะเรารักสบาย ขี้เกียจจดจำ เราก็เลยลืมง่าย แต่บางทีอาจจะในทางตรงกันข้าม คนไทยอาจจะ "ขยัน" อย่างไม่น่าเชื่อ หรือมีขุมพลังงานพิเศษบางอย่างที่ผลิตการลืมเลือนให้แก่เราได้อย่างไม่อั้น
I. B. Singer's "The Magician of Lublin"
บางครั้งเราก็สงสัยว่าอะไรแปลกกว่ากัน ระหว่างการจำแนกแยกแยะมนุษย์คนหนึ่ง ออกมาจากตัวอักษร เส้นที่ขีดเขียน ตีพิมพ์อยู่บนกระดาษ กับการรู้สึกว่า ชาวโปแลนด์จากศตวรรษที่ 19 อายุสี่สิบ แต่งงานแล้วแต่คบผู้หญิงพร้อมกันอีกสามคน เป็นนักมายากล ได้รับการกล่าวขานถึงในหมู่โจรและนักงัดแงะตู้เซฟ และเป็นชาวยิวที่กำลังประสบวิกฤติศรัทธา มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่เราจะรู้สึกว่าชายคนนี้เป็นคนเหมือนกับเรา
ถ้าที่สุดของงานศิลปะ โดยเฉพาะวรรณกรรม คือการสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาบนหน้ากระดาษ ซิงเกอร์ก็ประสบความสำเร็จจนไม่รู้จะยกย่องยังไงดีจาก The Magician of Lublin ช่างน่ามหัศจรรย์ที่เราสัมผัสความเป็นมนุษย์ในยาชา ตัวละครที่มีแบคกราวน์ทุกอย่างต่างจากเราโดยสิ้นเชิง
นิทเชอะ เอเคเอ ซาราทุสซากระมัง ที่เปรียบเทียบชีวิตว่าเหมือนนักกายกรรมเดินอยู่บนเส้นลวด ซิงเกอร์ใช้อุปมาอุปมัยตัวนี้เป็นพู่กัน วาดภาพมนุษย์ออกมาได้อย่างงดงาม ยาชาใช้ชีวิตที่เหมือนกับนักกายกรรม แม้เขาจะยืนยันกับคนอื่นว่าตัวเองไม่มีศาสนา (พูดให้ถูกคือ ยาชาเชื่อในพระเจ้า แต่เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าในโลกนี้ได้ ดังนั้นศาสนาคือการหลอกลวง) แต่ลึกๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนยิวในโปแลนด์ ในศตวรรษที่ 19 การเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมได้ปลูกฝังศรัทธา โดยเขาเองไม่ทันรู้ตัว ยาชาพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเชื่อและไม่เชื่อ เช่นเดียวกับอีกหลายต่อหลายปม จุดจบของยาชา เกิดจากสมดุลที่พังทลาย ไม่ว่าจะพังเพราะเขาดีเกิน หรือเลวเกินไปก็ตาม
นอกจากตัวละครเอกแล้ว ซิงเกอร์ยังถักทอสภาพสังคม วิถีชีวิตของชาวยิวยุโรปในศตวรรษที่ 19 รวมไปถึงตำนาน และความเชื้อลี้ลับ (สังคมยิวเป็นสังคมปิดมากๆ ชาวยิวที่หลุดจากวงโคจรตรงนี้ ก็จะออกแนวทันสมัย หรือไม่ก็ปัญญาชนจ๋าไปเลย เราคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของแกงสต้าคนดำ หรือมาเฟียอิตาลีเสียยิ่งกว่าคนยิวอีก)
ถ้าที่สุดของงานศิลปะ โดยเฉพาะวรรณกรรม คือการสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาบนหน้ากระดาษ ซิงเกอร์ก็ประสบความสำเร็จจนไม่รู้จะยกย่องยังไงดีจาก The Magician of Lublin ช่างน่ามหัศจรรย์ที่เราสัมผัสความเป็นมนุษย์ในยาชา ตัวละครที่มีแบคกราวน์ทุกอย่างต่างจากเราโดยสิ้นเชิง
นิทเชอะ เอเคเอ ซาราทุสซากระมัง ที่เปรียบเทียบชีวิตว่าเหมือนนักกายกรรมเดินอยู่บนเส้นลวด ซิงเกอร์ใช้อุปมาอุปมัยตัวนี้เป็นพู่กัน วาดภาพมนุษย์ออกมาได้อย่างงดงาม ยาชาใช้ชีวิตที่เหมือนกับนักกายกรรม แม้เขาจะยืนยันกับคนอื่นว่าตัวเองไม่มีศาสนา (พูดให้ถูกคือ ยาชาเชื่อในพระเจ้า แต่เขาไม่เชื่อว่ามนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าในโลกนี้ได้ ดังนั้นศาสนาคือการหลอกลวง) แต่ลึกๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนยิวในโปแลนด์ ในศตวรรษที่ 19 การเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมได้ปลูกฝังศรัทธา โดยเขาเองไม่ทันรู้ตัว ยาชาพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเชื่อและไม่เชื่อ เช่นเดียวกับอีกหลายต่อหลายปม จุดจบของยาชา เกิดจากสมดุลที่พังทลาย ไม่ว่าจะพังเพราะเขาดีเกิน หรือเลวเกินไปก็ตาม
นอกจากตัวละครเอกแล้ว ซิงเกอร์ยังถักทอสภาพสังคม วิถีชีวิตของชาวยิวยุโรปในศตวรรษที่ 19 รวมไปถึงตำนาน และความเชื้อลี้ลับ (สังคมยิวเป็นสังคมปิดมากๆ ชาวยิวที่หลุดจากวงโคจรตรงนี้ ก็จะออกแนวทันสมัย หรือไม่ก็ปัญญาชนจ๋าไปเลย เราคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของแกงสต้าคนดำ หรือมาเฟียอิตาลีเสียยิ่งกว่าคนยิวอีก)
W. Collins's "The Moonstone"
"the first...and the best of modern English detective novels." "the very finest detective story every written." เหล่านี้คือโฆษณาคำโปรยบนหน้าปกนิยาย The Moonstone ของวิลกิ คอลลินส์ โดยสองนักเขียนนิยายนักสืบผู้โด่งดัง อย่างไรก็ดี เราไม่เห็นด้วย ถึงจะสนุกสนานกับการอ่าน The Moonstone (และจะอธิบายต่อว่ามันสนุกยังไง) แต่หนังสือเล่มนี้สอบตกในฐานะนิยายนักสืบ!
เอาล่ะ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ที่ต้องให้เครดิตมันก็คือ นี่เป็นนิยายนักสืบเล่มแรกในภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นมาประมาณสิบห้าปีหลังเรื่องสั้นนักสืบเรื่องแรกของเอดการ์ อลับโป) ถ้ามองมันในฐานะนิยายนักสืบ นี่คือหินที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน เราเห็นร่างแรก ของ genre นิยายนักสืบก่อนจะถูกดัดแปลงโดยนักเขียนคนแล้วคนเล่า (ออกมาเป็นกฎเหล็กยี่สิบข้อของแวนได และยังถูกพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ) The Moonstone เลยเต็มไปด้วยตัวอย่างที่ "ไม่ดี" เช่น ความยาวไม่สมดุลกับเนื้อหา การเอาอนุภาคเหนือธรรมชาติ หรือวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของคดี (ไม่ใช่แค่น้ำจิ้ม หรือผงชูรส) การเล่นไม่ซื่อกับคนอ่าน
ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังสนุกกับอ่านนิยายเรื่องนี้มากๆ เราไม่ได้ให้คุณค่า The Moonstone ในฐานะนิยายนักสืบเล่มแรก เท่ากับนิยาย "หลังสมัยใหม่" เล่มแรก ลูกเล่นสุดแสนพิสดารของมันคือโครงสร้างของการเล่าเรื่อง The Moonstone แบ่งออกเป็นสองภาค ภาคปริศนาเล่าผ่านมุมมองของหัวหน้าคนรับใช้ในคฤหาสน์ ยาวประมาณครึ่งเล่ม ส่วนภาคไขปริศนา แบ่งออกเป็นเจ็ดแปดส่วนย่อย แต่ละส่วนมีผู้เล่าเรื่องแตกต่างกันไป ตั้งแต่หัวหน้าคนรับใช้คนเดิม นักสืบ หมอ ทนายความ รวมไปถึงมุมมองของผู้หญิงคลั่งศาสนา (ซึ่งเราไม่คิดว่าคอลลินส์จะเขียนออกมาได้เนี้ยบขนาดนี้) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกลิ่นของการทลายกำแพงที่สี่ เมื่อแต่ละผู้เล่าเรื่องตระหนักว่าผู้เล่าเรื่องคนอื่นๆ กล่าวถึงตัวเองว่าอย่างไร พอจบแต่ละบท มีกระทั่งการส่งต่อปากกา โอ้ อะไรมันจะเปรี้ยวได้ขนาดนั้น! (นักเขียนหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งเคยปรับเอาเทคนิคการสลับตัวผู้เล่าเรื่อง มาใช้กับนิยายเล่มแรกของตัวเองมาแล้ว ถ้าเขาได้อ่าน The Moonstone ก่อนเขียนนิยายเล่มนั้น คงได้สูบเอาลูกเล่นอีกสักอย่างสองอย่าง)
อีกจุดที่เราสนุกกับมัน คือน้ำเสียงและตัวละครหัวหน้าคนรับใช้ ชวนให้เรานึกถึงนิยายชุดจีฟและวูสเตอร์ ซึ่งเราเองเป็นแฟนเหนียวแน่น เสียดายที่ประเด็นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าคนรับใช้และเจ้านายหญิง (ซึ่งเหมือนต่างฝ่ายต่างจะยกย่อง เทิดทูน และ "รัก" อีกฝ่ายมากกว่าสามี ภรรยาที่แท้จริงของตัวเองเสียอีก) ไม่ได้ถูกย้ำนักในภาคไขปริศนา
เอาล่ะ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ที่ต้องให้เครดิตมันก็คือ นี่เป็นนิยายนักสืบเล่มแรกในภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นมาประมาณสิบห้าปีหลังเรื่องสั้นนักสืบเรื่องแรกของเอดการ์ อลับโป) ถ้ามองมันในฐานะนิยายนักสืบ นี่คือหินที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน เราเห็นร่างแรก ของ genre นิยายนักสืบก่อนจะถูกดัดแปลงโดยนักเขียนคนแล้วคนเล่า (ออกมาเป็นกฎเหล็กยี่สิบข้อของแวนได และยังถูกพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ) The Moonstone เลยเต็มไปด้วยตัวอย่างที่ "ไม่ดี" เช่น ความยาวไม่สมดุลกับเนื้อหา การเอาอนุภาคเหนือธรรมชาติ หรือวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของคดี (ไม่ใช่แค่น้ำจิ้ม หรือผงชูรส) การเล่นไม่ซื่อกับคนอ่าน
ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังสนุกกับอ่านนิยายเรื่องนี้มากๆ เราไม่ได้ให้คุณค่า The Moonstone ในฐานะนิยายนักสืบเล่มแรก เท่ากับนิยาย "หลังสมัยใหม่" เล่มแรก ลูกเล่นสุดแสนพิสดารของมันคือโครงสร้างของการเล่าเรื่อง The Moonstone แบ่งออกเป็นสองภาค ภาคปริศนาเล่าผ่านมุมมองของหัวหน้าคนรับใช้ในคฤหาสน์ ยาวประมาณครึ่งเล่ม ส่วนภาคไขปริศนา แบ่งออกเป็นเจ็ดแปดส่วนย่อย แต่ละส่วนมีผู้เล่าเรื่องแตกต่างกันไป ตั้งแต่หัวหน้าคนรับใช้คนเดิม นักสืบ หมอ ทนายความ รวมไปถึงมุมมองของผู้หญิงคลั่งศาสนา (ซึ่งเราไม่คิดว่าคอลลินส์จะเขียนออกมาได้เนี้ยบขนาดนี้) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกลิ่นของการทลายกำแพงที่สี่ เมื่อแต่ละผู้เล่าเรื่องตระหนักว่าผู้เล่าเรื่องคนอื่นๆ กล่าวถึงตัวเองว่าอย่างไร พอจบแต่ละบท มีกระทั่งการส่งต่อปากกา โอ้ อะไรมันจะเปรี้ยวได้ขนาดนั้น! (นักเขียนหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งเคยปรับเอาเทคนิคการสลับตัวผู้เล่าเรื่อง มาใช้กับนิยายเล่มแรกของตัวเองมาแล้ว ถ้าเขาได้อ่าน The Moonstone ก่อนเขียนนิยายเล่มนั้น คงได้สูบเอาลูกเล่นอีกสักอย่างสองอย่าง)
อีกจุดที่เราสนุกกับมัน คือน้ำเสียงและตัวละครหัวหน้าคนรับใช้ ชวนให้เรานึกถึงนิยายชุดจีฟและวูสเตอร์ ซึ่งเราเองเป็นแฟนเหนียวแน่น เสียดายที่ประเด็นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าคนรับใช้และเจ้านายหญิง (ซึ่งเหมือนต่างฝ่ายต่างจะยกย่อง เทิดทูน และ "รัก" อีกฝ่ายมากกว่าสามี ภรรยาที่แท้จริงของตัวเองเสียอีก) ไม่ได้ถูกย้ำนักในภาคไขปริศนา
W. Shakespeare's "Pericles/Cymbeline"
เหมือนจะแปลกแต่จริงคือ บ่อยครั้งเราคาดเดาไม่ได้เลยว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบหนังสือสักเล่ม จากแค่การอ่านเรื่องย่อ
ยกตัวอย่าง Pericles และ Cymbeline สองบทละครยุคหลังของเชคสเปียร์ที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เราหยิบมาอ่านคู่กันเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าดูจากเฉพาะเรื่องย่อ ยังไง๊ยังไง เราก็น่าจะชอบเรื่องหลังมากกว่า Cymbeline เป็นแบบบทละครแบบเชคสเปียร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เรื่องราวของความรักและการทรยศหักหลัง ขณะที่ Pericles จัดว่าเป็นบทละครแหกคอก มันอยู่ใน genre ที่เรียกว่า "ละครนักบุญ" ซึ่งโด่งดังมากในยุคกลาง (ก่อนยุคเรอเนซองค์) ว่าด้วยการฟันฝ่าอุปสรรคนานาของนักบุญ ก่อนจะพบกับตอนจบที่สุขสม
Pericles เป็นละครเชยๆ แบบที่ได้อธิบายมานั่นเอง เพอริเคลสเป็นเจ้าชายที่ขับไล่ตัวเอง เพื่อหนีจากการแก้แค้นของกษัตริย์อาทิออคุส ระหว่างการเดินทาง เจอกับพายุร้ายและเรือแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้ภรรยา ได้ลูกสาว สูญเสียภรรยา สูญเสียลูกสาว ก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกันของผาสุกในตอนท้าย (Pericles น่าจะเป็นบทละครชวนหัวเรื่องเดียวของเชคสเปียร์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่เน้นไปที่ความรักในครอบครัว)
เนื้อเรื่องเชยมาก แต่อย่างที่มีแวนเดอโรพูด "พระเจ้าสถิตย์อยู่ในรายละเอียด" จริงๆ กลับเป็นรายละเอียดที่เสริมเสน่ห์ให้กับละครเรื่องนี้ Pericles เริ่มต้นด้วยฉากน่าสยดสยองที่สุดฉากหนึ่งของเชคสเปียร์ เจ้าชายเพอริเคลสเดินทางมาสู่ขอธิดากษัตริย์อาทิออคุส หัวของเจ้าชายองค์ก่อนๆ ถูกเสียบประดับกำแพงเมือง เพอริเคลสได้เรียนรู้ความจริงอันน่าขยะแขยงผ่านปริศนาคำทายว่า กษัตริย์อาทิออคุสลักลอบได้เสียกับธิดาของตัวเอง เป็นฉากที่มหัศจรรย์ และทรงพลังอย่างมาก จนแม้ว่ากษัตริย์อาทิออคุสจะไม่ได้โผล่ออกมาอีกเลย แต่เงาของฉากนี้สยายครอบคลุมละครทั้งเรื่อง (จุดจบของอาทิออคุสและลูกสาวแม้จะเกิดนอกเวที แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย)
นักวิจารณ์หลายคนมองว่าปมของ Pericles อยู่ที่ตัวเอกต้องรับมือกับบาปมหันต์ที่เขามีส่วนรับรู้ในตอนต้นเรื่อง และเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวประสบโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่ได้เกี่ยวกับความผิดการกระทำของตัวเองเลย ในตอนท้ายบทละคร เพื่อนผู้หวังดีคนหนึ่ง ต้องการปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลสที่เพิ่งสูญเสียลูกสาว จึงไปซื้อมารินา ลูกสาวซึ่งจริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่มาจากซ่องแห่งหนึ่ง เพื่อให้มาปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลส ถึงในบทละครจะไม่ชัดเจน แต่ฉากนี้น่าจะเล่นกับปมที่ผูกไว้ตอนต้นเรื่อง เพอริเคลสจะพลั้งพลาดและทำความผิดแบบเดียวกับอาทิออคุสหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม Cymbeline ที่เรากะว่าเข้าทางเราแน่ๆ กลับดูเหมือนรวมฮิตเชคสเปียร์ไปหน่อย มันเต็มไปด้วยอนุภาคที่เราคุ้นเคยจากบทละครเรื่องเก่าๆ มากเกินไป จนไม่ได้กระตุ้นความอยากอ่านเลย
ยกตัวอย่าง Pericles และ Cymbeline สองบทละครยุคหลังของเชคสเปียร์ที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เราหยิบมาอ่านคู่กันเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าดูจากเฉพาะเรื่องย่อ ยังไง๊ยังไง เราก็น่าจะชอบเรื่องหลังมากกว่า Cymbeline เป็นแบบบทละครแบบเชคสเปียร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เรื่องราวของความรักและการทรยศหักหลัง ขณะที่ Pericles จัดว่าเป็นบทละครแหกคอก มันอยู่ใน genre ที่เรียกว่า "ละครนักบุญ" ซึ่งโด่งดังมากในยุคกลาง (ก่อนยุคเรอเนซองค์) ว่าด้วยการฟันฝ่าอุปสรรคนานาของนักบุญ ก่อนจะพบกับตอนจบที่สุขสม
Pericles เป็นละครเชยๆ แบบที่ได้อธิบายมานั่นเอง เพอริเคลสเป็นเจ้าชายที่ขับไล่ตัวเอง เพื่อหนีจากการแก้แค้นของกษัตริย์อาทิออคุส ระหว่างการเดินทาง เจอกับพายุร้ายและเรือแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้ภรรยา ได้ลูกสาว สูญเสียภรรยา สูญเสียลูกสาว ก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกันของผาสุกในตอนท้าย (Pericles น่าจะเป็นบทละครชวนหัวเรื่องเดียวของเชคสเปียร์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่เน้นไปที่ความรักในครอบครัว)
เนื้อเรื่องเชยมาก แต่อย่างที่มีแวนเดอโรพูด "พระเจ้าสถิตย์อยู่ในรายละเอียด" จริงๆ กลับเป็นรายละเอียดที่เสริมเสน่ห์ให้กับละครเรื่องนี้ Pericles เริ่มต้นด้วยฉากน่าสยดสยองที่สุดฉากหนึ่งของเชคสเปียร์ เจ้าชายเพอริเคลสเดินทางมาสู่ขอธิดากษัตริย์อาทิออคุส หัวของเจ้าชายองค์ก่อนๆ ถูกเสียบประดับกำแพงเมือง เพอริเคลสได้เรียนรู้ความจริงอันน่าขยะแขยงผ่านปริศนาคำทายว่า กษัตริย์อาทิออคุสลักลอบได้เสียกับธิดาของตัวเอง เป็นฉากที่มหัศจรรย์ และทรงพลังอย่างมาก จนแม้ว่ากษัตริย์อาทิออคุสจะไม่ได้โผล่ออกมาอีกเลย แต่เงาของฉากนี้สยายครอบคลุมละครทั้งเรื่อง (จุดจบของอาทิออคุสและลูกสาวแม้จะเกิดนอกเวที แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย)
นักวิจารณ์หลายคนมองว่าปมของ Pericles อยู่ที่ตัวเอกต้องรับมือกับบาปมหันต์ที่เขามีส่วนรับรู้ในตอนต้นเรื่อง และเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวประสบโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่ได้เกี่ยวกับความผิดการกระทำของตัวเองเลย ในตอนท้ายบทละคร เพื่อนผู้หวังดีคนหนึ่ง ต้องการปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลสที่เพิ่งสูญเสียลูกสาว จึงไปซื้อมารินา ลูกสาวซึ่งจริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่มาจากซ่องแห่งหนึ่ง เพื่อให้มาปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลส ถึงในบทละครจะไม่ชัดเจน แต่ฉากนี้น่าจะเล่นกับปมที่ผูกไว้ตอนต้นเรื่อง เพอริเคลสจะพลั้งพลาดและทำความผิดแบบเดียวกับอาทิออคุสหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม Cymbeline ที่เรากะว่าเข้าทางเราแน่ๆ กลับดูเหมือนรวมฮิตเชคสเปียร์ไปหน่อย มันเต็มไปด้วยอนุภาคที่เราคุ้นเคยจากบทละครเรื่องเก่าๆ มากเกินไป จนไม่ได้กระตุ้นความอยากอ่านเลย
I. Calvino's "The Uses of Literature"
"กระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติของวรรณกรรม" (Natural Selection of Literature) นั่นแหละคือสรุปรวบยอดแนวคิดทางวรรณกรรมของคัลวิโน
มันหมายความว่าอย่างไร สำหรับคัลวิโน วรรณกรรมไม่ได้เกิดจากการใคร่ครวญ (ที่จะเขียน) ของนักประพันธ์ เขาชักชวนให้เราย้อนเวลากลับไปสมัยยุคถ้ำ สมัยแรกๆ ที่มนุษย์ยังเล่านิทานรอบกองไฟ ภาษาที่จำกัด และความเข้าใจต่อโลกที่จำกัด มนุษย์ถ้ำ อาจจะมีคำ (หรือภาษามือ) ที่สื่อสารความหมายแค่ไม่กี่ช้าง เช่น ช้าง เสือ หิมะ ฝน ตู สู นก ถ้ำ ทะเล กระบวนการเล่าเรื่องเกิดจากมนุษย์ถ้ำเอาสัญญะเหล่านั้นมาต่อๆ กันอย่างสุ่มมั่ว เช่น ช้างตกจากฟ้า ตูอยู่ทะเล นกกินเสือ ในขั้นแรก ประโยคเหล่านี้ไม่มี "ความหมาย" อะไรเลย เป็นแค่การเล่นสนุกของมนุษย์ถ้ำ ที่จะเอาสัญญะมาต่อๆ กัน
แต่แล้วจู่ๆ มนุษย์ถ้ำก็เริ่มสังเกตว่าชุดคำบางอย่าง มัน "ดูดี" มากกว่าชุดคำประเภทอื่น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ช้างเหยียบมด ถึงฟังแล้ว "ใช่" กว่า มดเหยียบช้าง ภาษาค่อยๆ ถูกจำกัดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องราว (หมาป่ากินคุณย่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง ไม่ใช่ คุณย่ากินหมาป่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง หรือ หนูน้อยหมวกแดงกินคุณย่า แล้วปลอมตัวรอหมาป่า) เรื่องราวเกิดมาจากการคัดสรรแล้ว จากความเป็นไปได้แบบสุ่มมั่วสิบหมื่นร้อยพัน อะไรที่ "ไม่ใช่" หรือ "ดูไม่ดี" ถูกคัดออก เช่นเดียวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน
น่าตื่นเต้น และน่าตื่นตระหนกมาก สิ่งที่คัลวิโนเชื่อกลับหัวกลับหางกับทฤษฎีวรรณกรรม ภาษาศาสตร์ทั่วไปเลย ไม่ใช่ว่าความจำเป็นก่อให้เกิดภาษา และเรื่องราว แต่ภาษาถูกสร้างขึ้นมาอย่างสุ่มมั่ว ก่อนจะถูกคัดออกไปต่างหาก ความเป็นจริง (หรือความสมจริงสมจัง) ไม่ใช่ตัวกำหนดโครงสร้าง การไหลเวียนของภาษา มองในทางตรงข้าม ภาษาต่างหากที่ควบคุมความเป็นจริงอีกชั้น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจู่ๆ มนุษย์ถ้ำรู้สึกว่า "ตูบินได้" มันฟังดูเข้าท่าเข้าที อำนาจของภาษามีผลอย่างไรต่อความเป็นจริง (นี่เองคือที่มาของเวทมนต์คาถา คำพูดที่ฟังดูใช่ แม้จะขัดแย้งกับความเป็นจริงก็ตาม)
มันหมายความว่าอย่างไร สำหรับคัลวิโน วรรณกรรมไม่ได้เกิดจากการใคร่ครวญ (ที่จะเขียน) ของนักประพันธ์ เขาชักชวนให้เราย้อนเวลากลับไปสมัยยุคถ้ำ สมัยแรกๆ ที่มนุษย์ยังเล่านิทานรอบกองไฟ ภาษาที่จำกัด และความเข้าใจต่อโลกที่จำกัด มนุษย์ถ้ำ อาจจะมีคำ (หรือภาษามือ) ที่สื่อสารความหมายแค่ไม่กี่ช้าง เช่น ช้าง เสือ หิมะ ฝน ตู สู นก ถ้ำ ทะเล กระบวนการเล่าเรื่องเกิดจากมนุษย์ถ้ำเอาสัญญะเหล่านั้นมาต่อๆ กันอย่างสุ่มมั่ว เช่น ช้างตกจากฟ้า ตูอยู่ทะเล นกกินเสือ ในขั้นแรก ประโยคเหล่านี้ไม่มี "ความหมาย" อะไรเลย เป็นแค่การเล่นสนุกของมนุษย์ถ้ำ ที่จะเอาสัญญะมาต่อๆ กัน
แต่แล้วจู่ๆ มนุษย์ถ้ำก็เริ่มสังเกตว่าชุดคำบางอย่าง มัน "ดูดี" มากกว่าชุดคำประเภทอื่น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ช้างเหยียบมด ถึงฟังแล้ว "ใช่" กว่า มดเหยียบช้าง ภาษาค่อยๆ ถูกจำกัดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องราว (หมาป่ากินคุณย่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง ไม่ใช่ คุณย่ากินหมาป่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง หรือ หนูน้อยหมวกแดงกินคุณย่า แล้วปลอมตัวรอหมาป่า) เรื่องราวเกิดมาจากการคัดสรรแล้ว จากความเป็นไปได้แบบสุ่มมั่วสิบหมื่นร้อยพัน อะไรที่ "ไม่ใช่" หรือ "ดูไม่ดี" ถูกคัดออก เช่นเดียวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน
น่าตื่นเต้น และน่าตื่นตระหนกมาก สิ่งที่คัลวิโนเชื่อกลับหัวกลับหางกับทฤษฎีวรรณกรรม ภาษาศาสตร์ทั่วไปเลย ไม่ใช่ว่าความจำเป็นก่อให้เกิดภาษา และเรื่องราว แต่ภาษาถูกสร้างขึ้นมาอย่างสุ่มมั่ว ก่อนจะถูกคัดออกไปต่างหาก ความเป็นจริง (หรือความสมจริงสมจัง) ไม่ใช่ตัวกำหนดโครงสร้าง การไหลเวียนของภาษา มองในทางตรงข้าม ภาษาต่างหากที่ควบคุมความเป็นจริงอีกชั้น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจู่ๆ มนุษย์ถ้ำรู้สึกว่า "ตูบินได้" มันฟังดูเข้าท่าเข้าที อำนาจของภาษามีผลอย่างไรต่อความเป็นจริง (นี่เองคือที่มาของเวทมนต์คาถา คำพูดที่ฟังดูใช่ แม้จะขัดแย้งกับความเป็นจริงก็ตาม)
A. Copland's "What to Listen for in Music"
มีนิยายที่จงใจไม่ใช่ตัวอักษร e (ตัวอักษรสามัญที่สุดในภาษาอังกฤษ) นิยายที่ค่อยๆ ตัดคำขึ้นต้นด้วยตัว a b c d e f... ไปเรื่อยๆ ในแต่ละบท นิยายที่เขียนโดยไม่ใช้คำซ้ำเลย (อ่านได้ประมาณหนึ่งย่อหน้า ก็อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว ทั้งเล่มยาวประมาณ 200 หน้า) สงสัยว่าทำไมการเขียนนิยายแนวทดลองถึงเต็มไปด้วยเงื่อนไขของการตัดทอน การลบละบางสิ่งบางอย่าง ไม่เห็นมีใครเขียนนิยายแบบแจ็ค นิโคลสันใน The Shining นิยายที่มีแต่ประโยคเดียวซ้ำไปซ้ำมา (แจ็คไม่ได้บ้า เขาแค่กำลังทำการทดลองทางวรรณกรรมต่างหาก! :-P )
สมมติฐานหนึ่งคือ พื้นฐานของศิลปะที่เล่าเรื่อง โดยเฉพาะวรรณกรรม คือการหาอะไรใหม่ๆ มาป้อนคนอ่านตลอดเวลา นิยายขนบอาศัยการเดินเรื่อง พาตัวเอกและคนอ่านไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิม คนเขียนนิยายแนวทดลอง ก็อาจสืบทอดวิธีคิดนี้มาโดยไม่รู้ตัว
ถ้าพิจารณากันจริงๆ คุณสมบัติตรงนี้ต่างจากดนตรีชนิดกลับหัวกลับหางเลย ดนตรี ยิ่งขนบเท่าใด ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความซ้ำ พื้นฐานของดนตรีขนบคือการย้ำไปที่โน้ต สเกล จังหวะ คอร์ด ธีม หรือ โมทีฟหนึ่งๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ผู้ฟังคุ้นเคย และรู้สึกอุ่นใจเสียงพื้นตรงนั้น (และด้วยเหตุนี้ นักประพันธ์ต้นศตวรรษที่ 20 ถึงพยายามฉีกตัวเองด้วยเทคนิคต่างๆ ที่พยายามทำลายความซ้ำซากตรงนี้ Twelve-tone technique ของโชคเบิร์ค คือตัวอย่างหนึ่ง) ทั้งหมดนี้เพราะดนตรีอาจเป็นศิลปะแขนงเดียวที่ form จัดกว่า content อย่างเห็นได้ชัด
แต่จริงหรือเปล่าที่ว่าวรรณกรรมไม่มีความซ้ำซากเลย ถ้าวิเคราะห์ดีๆ เราก็จะพบอาการย้ำคิดย้ำทำในวรรณกรรมเฉกเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ชัดเจนเท่ากรณีของดนตรี แต่นักวิจารณ์แนวโครงสร้างนิยมก็มักพูดถึง form ของวรรณกรรม และเมื่อมี form ก็ (อาจ) หมายถึงการย้ำโมทีฟบางอย่างในงานเขียนได้ด้วย
ทั้งหลายนี้อาจเป็นสาเหตุที่เราสนอกสนใจทฤษฎีดนตรีเสมอมา การผลิตงานศิลปะขึ้นมาจากความซ้ำซาก การใช้ form จัดๆ มานำ content การดัดแปลงเอาฟูวก์ หรือโซนาตามาใช้กับงานวรรณกรรมจะเป็นไปได้ไหม และออกมาในรูปแบบใด ความสนใจนี้ดลให้เราหา What to Listen for in Music ของแอรอน คอปแลนด์มาอ่าน หนังสือคลาสสิคว่าด้วยทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน
สมมติฐานหนึ่งคือ พื้นฐานของศิลปะที่เล่าเรื่อง โดยเฉพาะวรรณกรรม คือการหาอะไรใหม่ๆ มาป้อนคนอ่านตลอดเวลา นิยายขนบอาศัยการเดินเรื่อง พาตัวเอกและคนอ่านไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิม คนเขียนนิยายแนวทดลอง ก็อาจสืบทอดวิธีคิดนี้มาโดยไม่รู้ตัว
ถ้าพิจารณากันจริงๆ คุณสมบัติตรงนี้ต่างจากดนตรีชนิดกลับหัวกลับหางเลย ดนตรี ยิ่งขนบเท่าใด ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความซ้ำ พื้นฐานของดนตรีขนบคือการย้ำไปที่โน้ต สเกล จังหวะ คอร์ด ธีม หรือ โมทีฟหนึ่งๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ผู้ฟังคุ้นเคย และรู้สึกอุ่นใจเสียงพื้นตรงนั้น (และด้วยเหตุนี้ นักประพันธ์ต้นศตวรรษที่ 20 ถึงพยายามฉีกตัวเองด้วยเทคนิคต่างๆ ที่พยายามทำลายความซ้ำซากตรงนี้ Twelve-tone technique ของโชคเบิร์ค คือตัวอย่างหนึ่ง) ทั้งหมดนี้เพราะดนตรีอาจเป็นศิลปะแขนงเดียวที่ form จัดกว่า content อย่างเห็นได้ชัด
แต่จริงหรือเปล่าที่ว่าวรรณกรรมไม่มีความซ้ำซากเลย ถ้าวิเคราะห์ดีๆ เราก็จะพบอาการย้ำคิดย้ำทำในวรรณกรรมเฉกเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ชัดเจนเท่ากรณีของดนตรี แต่นักวิจารณ์แนวโครงสร้างนิยมก็มักพูดถึง form ของวรรณกรรม และเมื่อมี form ก็ (อาจ) หมายถึงการย้ำโมทีฟบางอย่างในงานเขียนได้ด้วย
ทั้งหลายนี้อาจเป็นสาเหตุที่เราสนอกสนใจทฤษฎีดนตรีเสมอมา การผลิตงานศิลปะขึ้นมาจากความซ้ำซาก การใช้ form จัดๆ มานำ content การดัดแปลงเอาฟูวก์ หรือโซนาตามาใช้กับงานวรรณกรรมจะเป็นไปได้ไหม และออกมาในรูปแบบใด ความสนใจนี้ดลให้เราหา What to Listen for in Music ของแอรอน คอปแลนด์มาอ่าน หนังสือคลาสสิคว่าด้วยทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน
R. Windor's "The Final Act of Mr Shakespeare"
มีความล้มเหลวบางอย่างที่เราให้ค่ามันเสียยิ่งกว่าความสำเร็จอีก The Final Act of Mr Shakespeare นิยายกึ่งประวัติศาสตร์ ว่าด้วยเบื้องหลังบทละคร Henry VIII ของเชคสเปียร์ คือความล้มเหลวที่ว่า
วินดอร์สมมติเรื่องราว ให้เชคสเปียร์ไปชมละคร Richard III ของตัวเอง แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดจิตสำนึกขึ้นมา เขาอับอายตัวเองที่วาดภาพกษัตริย์ริชาร์ดให้ออกมาเป็นผู้ร้ายสุดโต่ง เพื่อเยินพระเกียรติราชวงศ์ทิวดอร์ เชคสเปียร์ตัดสินใจจะแก้ไขบันทึกประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง นักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่จึงตัดสินใจผลิตบทละครชิ้นสุดท้าย Henry VII เพื่อเปิดเผยความชั่วร้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ แต่เบื้องหน้า ให้นักเขียนอีกคนเขียน Henry VIII เพื่อปกปิดโครงการอันตรายนี้
ผิวเผินเหมือนว่านิยาย (ชื่อย้าวยาว) ของวินดอร์เรื่องนี้จะเข้าข่าย cloak-and-dagger นิยายสายลับนักสืบย้อนยุค (เช่น สามทหารเสือ) แต่ The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านั้น วินดอร์สืบค้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของเชคสเปียร์ มาผสมปนเปเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้ เอาเข้าจริงแล้วนิยายเรื่องนี้มีอนุภาค (element) ของความเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์เบื้องหลังการเขียนบทละครเสียมากกว่า
แต่ก็นั่นแหละ คือจุดด้อยและความล้มเหลวของมัน เราบอกว่า The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านิยาย cloak-and-dagger แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีหลายอย่างน้อยกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนที่วินดอร์ไปค้นคว้ามาว่า เวลาเชคสเปียร์เขียนบทละคร แทนที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องกับปากกาและกระดาษเปล่า เขากลับใช้วิธีเรียกนักแสดง และศิลปินมารวมตัวกัน แล้วค่อยๆ คิดฉาก ให้แต่ละนักแสดงสวมบทบาทแล้วด้นสดเลย มีเสมียนคอยจดคนหนึ่ง จากนั้นค่อยให้เชคสเปียร์ไปเกลาเป็นคนสุดท้ายอีกที ไม่เคยพบเคยเห็น creative process ที่สุมหัวคิดแบบนี้มาก่อน (เราเคยเล่นเป็นตัวประกอบในละครเชคสเปียร์ ยังจำคำพูดของผู้กำกับได้แม่นยำเลย "Theatre is not a f*cking democracy!")
ส่วนใหญ่ของ The Final Act of Mr Shakespeare ก็คือการสุมหัวคิดแบบนี้แหละ นิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอก็คงสนุกดี แต่นี้เล่นกินเรื่องราวเกือบตลอดทั้งเล่ม แทนที่จะอ่านสนุกแบบนิยาย cloak-and-dagger เลยกลายเป็นหนังสือสุด tedious แทน แถมตอนท้ายวินดอร์ยัง "กล้าดี" พอที่จะนำเสนอบทละคร Henry VII ของตัวเองอีกต่างหาก (เท่ากับว่า คนอ่านอย่างเราต้องอ่าน Henry VII สองครั้ง คือระหว่างสุมหัวคิด กับในรูปบทละครสมบูรณ์แบบ)
อีกจุดอ่อนหนึ่งคือปรัชญาของนิยายเรื่องนี้ เราไม่เชื่อว่าเชคสเปียร์ตัวจริงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์หรอก และขณะที่เชคสเปียร์ของวินดอร์ พร่ำภาวนาถึงการเขียนประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง แต่บทละคร Henry VII กลับได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องซุบซิบนินทา หรือแม้แต่สิ่งที่วินดอร์กำลังทำอยู่นี้ (เล่นกับเกร็ดประวัติศาสตร์) ในแง่หนึ่งก็คือการปลอมประวัติศาสตร์เพื่อความบันเทิงนั่นเอง
วินดอร์สมมติเรื่องราว ให้เชคสเปียร์ไปชมละคร Richard III ของตัวเอง แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดจิตสำนึกขึ้นมา เขาอับอายตัวเองที่วาดภาพกษัตริย์ริชาร์ดให้ออกมาเป็นผู้ร้ายสุดโต่ง เพื่อเยินพระเกียรติราชวงศ์ทิวดอร์ เชคสเปียร์ตัดสินใจจะแก้ไขบันทึกประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง นักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่จึงตัดสินใจผลิตบทละครชิ้นสุดท้าย Henry VII เพื่อเปิดเผยความชั่วร้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ แต่เบื้องหน้า ให้นักเขียนอีกคนเขียน Henry VIII เพื่อปกปิดโครงการอันตรายนี้
ผิวเผินเหมือนว่านิยาย (ชื่อย้าวยาว) ของวินดอร์เรื่องนี้จะเข้าข่าย cloak-and-dagger นิยายสายลับนักสืบย้อนยุค (เช่น สามทหารเสือ) แต่ The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านั้น วินดอร์สืบค้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของเชคสเปียร์ มาผสมปนเปเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้ เอาเข้าจริงแล้วนิยายเรื่องนี้มีอนุภาค (element) ของความเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์เบื้องหลังการเขียนบทละครเสียมากกว่า
แต่ก็นั่นแหละ คือจุดด้อยและความล้มเหลวของมัน เราบอกว่า The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านิยาย cloak-and-dagger แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีหลายอย่างน้อยกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนที่วินดอร์ไปค้นคว้ามาว่า เวลาเชคสเปียร์เขียนบทละคร แทนที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องกับปากกาและกระดาษเปล่า เขากลับใช้วิธีเรียกนักแสดง และศิลปินมารวมตัวกัน แล้วค่อยๆ คิดฉาก ให้แต่ละนักแสดงสวมบทบาทแล้วด้นสดเลย มีเสมียนคอยจดคนหนึ่ง จากนั้นค่อยให้เชคสเปียร์ไปเกลาเป็นคนสุดท้ายอีกที ไม่เคยพบเคยเห็น creative process ที่สุมหัวคิดแบบนี้มาก่อน (เราเคยเล่นเป็นตัวประกอบในละครเชคสเปียร์ ยังจำคำพูดของผู้กำกับได้แม่นยำเลย "Theatre is not a f*cking democracy!")
ส่วนใหญ่ของ The Final Act of Mr Shakespeare ก็คือการสุมหัวคิดแบบนี้แหละ นิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอก็คงสนุกดี แต่นี้เล่นกินเรื่องราวเกือบตลอดทั้งเล่ม แทนที่จะอ่านสนุกแบบนิยาย cloak-and-dagger เลยกลายเป็นหนังสือสุด tedious แทน แถมตอนท้ายวินดอร์ยัง "กล้าดี" พอที่จะนำเสนอบทละคร Henry VII ของตัวเองอีกต่างหาก (เท่ากับว่า คนอ่านอย่างเราต้องอ่าน Henry VII สองครั้ง คือระหว่างสุมหัวคิด กับในรูปบทละครสมบูรณ์แบบ)
อีกจุดอ่อนหนึ่งคือปรัชญาของนิยายเรื่องนี้ เราไม่เชื่อว่าเชคสเปียร์ตัวจริงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์หรอก และขณะที่เชคสเปียร์ของวินดอร์ พร่ำภาวนาถึงการเขียนประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง แต่บทละคร Henry VII กลับได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องซุบซิบนินทา หรือแม้แต่สิ่งที่วินดอร์กำลังทำอยู่นี้ (เล่นกับเกร็ดประวัติศาสตร์) ในแง่หนึ่งก็คือการปลอมประวัติศาสตร์เพื่อความบันเทิงนั่นเอง
G. Greene's "A Gun for Sale"
เอาน่า ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง เราเดาว่าถ้า A Gun for Sale ไม่ใช่นิยายเรื่องแรกของเกรแฮม กรีน ก็น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ เลย ตกลงเป็นเรื่องที่เจ็ด จากสามสิบกว่าเรื่องตลอดทั้งชีวิต ก็น่าจะถือเป็นเรื่องแรกๆ ได้เหมือนกัน
ราเวนเป็นผู้ชายที่หันหลังให้กับโลกทั้งใบ เขามีอาชีพมือปืนรับจ้าง ("a gun for sale") รับงานใหญ่มาชิ้นหนึ่ง ถูกผู้ว่าจ้างหักหลัง ถูกตำรวจตามล่า และตามล่าผู้ว่าจ้างต่ออีกทอด ระหว่างนั้น แอน นักแสดงสาวที่เชื่อว่าราเวนกำลังพยายามหยุดยั้งสงคราม เข้ามาพัวพันกับเขา แต่แอนดันเป็นคู่หมั้นของตำรวจที่กำลังตามล่าราเวนอยู่ เรื่องก็เลยอิรุงตุงนังเช่นฉะนี้
พอมาอ่านเรื่องย่อเชยๆ เลยตระหนักว่า บางทีความสำเร็จของนิยายเรื่องนี้น่าจะมาจากการที่กรีนเขียนให้มันออกมาไม่เชย และเหตุบังเอิญทั้งหลายแหล่ ไม่ออกมาน่าเหลือเชื่อจนเกินไป A Gun for Sale ไม่ใช่นิยายที่ไม่ดี แต่ ณ จุดนี้เราไม่ตื่นเต้นกับงานระดับนี้แล้ว น่าจับตามากกว่าคือมันเต็มไปด้วยเทคนิคของมือสมัครเล่น (ตอนจบมีการเล่าเหตุการณ์ถัดจากนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาตัวประกอบบ้าง น่ารักดี แต่เหมือนไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ กับนิยายทริลเลอร์สั้นๆ แบบนี้)
มีบางลูกเล่นการเขียน ที่กรีนหยิบจับมาพัฒนา จนแตกฉานในงานชิ้นถัดไป พร้อมกับอีกหลายลูกเล่นที่กรีนโยนทิ้ง ไม่แตะต้องมันอีกเลย (ขอบคุณพระเจ้า!) โดยเฉพาะการจงใจตัดข้ามไคลแม็ก และไปเล่าเหตุการณ์ปลีกย่อย ก่อนค่อยๆ บิวด์เข้าสู่เหตุการณ์หลักอีกคราว เป็นเทคนิคที่ช่างโชว์ออฟ และถูกใช้บ่อยจนน่ารำคาญ แม้ว่าใน The Ministry of Fear กรีนจะเอาเทคนิคนี้กลับมาใช้อีกครั้ง ได้อย่างน่าพึงพอใจก็ตาม
เล่าให้ฟังขำๆ คือ เหตุการณ์ในนิยายเกิดช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ราเวนรับจ้างฆ่าคนระดับนักการเมืองใหญ่ด้วยค่าจ้างเพียง 200 ปอนด์ ส่วนผู้ร้ายใหญ่สุดวางแผนชั่วเพื่อหวังฟันกำไรเพียง 500,000 ปอนด์เท่านั้น ความเฟ้อของเงินช่างน่ากลัว
ราเวนเป็นผู้ชายที่หันหลังให้กับโลกทั้งใบ เขามีอาชีพมือปืนรับจ้าง ("a gun for sale") รับงานใหญ่มาชิ้นหนึ่ง ถูกผู้ว่าจ้างหักหลัง ถูกตำรวจตามล่า และตามล่าผู้ว่าจ้างต่ออีกทอด ระหว่างนั้น แอน นักแสดงสาวที่เชื่อว่าราเวนกำลังพยายามหยุดยั้งสงคราม เข้ามาพัวพันกับเขา แต่แอนดันเป็นคู่หมั้นของตำรวจที่กำลังตามล่าราเวนอยู่ เรื่องก็เลยอิรุงตุงนังเช่นฉะนี้
พอมาอ่านเรื่องย่อเชยๆ เลยตระหนักว่า บางทีความสำเร็จของนิยายเรื่องนี้น่าจะมาจากการที่กรีนเขียนให้มันออกมาไม่เชย และเหตุบังเอิญทั้งหลายแหล่ ไม่ออกมาน่าเหลือเชื่อจนเกินไป A Gun for Sale ไม่ใช่นิยายที่ไม่ดี แต่ ณ จุดนี้เราไม่ตื่นเต้นกับงานระดับนี้แล้ว น่าจับตามากกว่าคือมันเต็มไปด้วยเทคนิคของมือสมัครเล่น (ตอนจบมีการเล่าเหตุการณ์ถัดจากนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาตัวประกอบบ้าง น่ารักดี แต่เหมือนไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ กับนิยายทริลเลอร์สั้นๆ แบบนี้)
มีบางลูกเล่นการเขียน ที่กรีนหยิบจับมาพัฒนา จนแตกฉานในงานชิ้นถัดไป พร้อมกับอีกหลายลูกเล่นที่กรีนโยนทิ้ง ไม่แตะต้องมันอีกเลย (ขอบคุณพระเจ้า!) โดยเฉพาะการจงใจตัดข้ามไคลแม็ก และไปเล่าเหตุการณ์ปลีกย่อย ก่อนค่อยๆ บิวด์เข้าสู่เหตุการณ์หลักอีกคราว เป็นเทคนิคที่ช่างโชว์ออฟ และถูกใช้บ่อยจนน่ารำคาญ แม้ว่าใน The Ministry of Fear กรีนจะเอาเทคนิคนี้กลับมาใช้อีกครั้ง ได้อย่างน่าพึงพอใจก็ตาม
เล่าให้ฟังขำๆ คือ เหตุการณ์ในนิยายเกิดช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ราเวนรับจ้างฆ่าคนระดับนักการเมืองใหญ่ด้วยค่าจ้างเพียง 200 ปอนด์ ส่วนผู้ร้ายใหญ่สุดวางแผนชั่วเพื่อหวังฟันกำไรเพียง 500,000 ปอนด์เท่านั้น ความเฟ้อของเงินช่างน่ากลัว
H. Ibsen's "Four Major Plays"
Four Major Plays ประกอบด้วยบทละครสี่เรื่องดังของอิบเซนคือ A Doll's House Ghosts Hedda Gabler และ The Master Builder เคยอ่านและชมเรื่องแรกนานแล้ว เลยไม่ได้อ่านซ้ำรอบนี้ ส่วน Ghosts ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ดังนั้นในบลอคนี้ก็ขอพูดถึงแค่สองเรื่องสุดท้ายเท่านั้น
เฮดดาจาก Hedda Gabler และฮิลดาจาก The Master Builder ดูราวกับจะเป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน เหมือนปีศาจและเทพธิดา เฮดดาทำร้าย บดขยี้ชีวิตคนอื่นโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เช่นเดียวกับฮิลดา ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่เข้ามากลางชีวิตที่แตกสลาย และค่อยๆ ผสานทุกสิ่งเข้าหากัน ไม่น่าเชื่อว่าอิบเซนจะสามารถสร้างสองตัวละครที่แตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้
ในส่วนที่คล้ายคลึงกันคือ ละครทั้งสองเรื่องพูดถึงชีวิตแต่งงานที่ล่มสลาย (เอาเข้าจริง ก็ละครแทบทุกเรื่องของอิบเซนนั่นแล) เฮดดาแต่งงานกับเด็กเนิร์ดไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะความเบื่อหน่ายชีวิตตนเอง แต่เมื่อเธอตระหนักว่าชีวิตแต่งงานนั้น น่าเบื่อเสียยิ่งกว่า เธอเลือกที่จะเล่นเกม และทำลายชีวิตคนใกล้ตัว โซลเนส สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ตระหนักว่าอาชีพการงานของเขามาถึงทางตันแล้ว หากดำเนินต่อไป ก็แค่รอเวลาให้เด็กรุ่นหลังแซงหน้า และขโมยความสำเร็จจากตัวเขา เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับอาจารย์ แต่จู่ๆ ฮิลดา หญิงสาวปริศนาก็โผล่เข้ามาในชีวิตโซลเนสและคนรอบข้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ชอบทั้งสองเรื่องมากพอๆ กัน Hedda Gabler ได้ความรู้สึกสะใจของการทำลายล้าง ขณะที่ The Master Builder เป็นความอิ่มเอมใจอันประหลาดของการซ่อมแซม ความกล้าหาญ หนึ่งในคุณธรรมที่สำคัญที่สุดใน The Master Builder ถูกนำมาถากถางอย่างไม่ใยดีใน Hedda Gabler ช่างน่ามหัศจรรย์ที่บทละครสองเรื่องนี้ (ในเวลาเขียนที่ต่างกันเพียงสองปี) สามารถออกมาจากตัวคนคนเดียวกันได้
(เอาเข้าจริง มีนักวิจารณ์กลุ่มใหญ่ที่ตีความ The Master Builder ไปอีกทางหนึ่งเลย ว่านี่คือความโง่เขลาของผู้ชายวัยทอง ที่ถูกยั่วยวนโดยความเยาว์ ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่เราชอบวิธีอ่านแบบเรามากกว่า ตัวละครฮิลดานั้น โคตรจะ "การ์ตูนญี่ปุ่น" เลย เหมือนพวกอะนิเมะเกิร์ลนิสัยเพี้ยนๆ ที่ออกมาจากกระจก โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือจอทีวี เพื่อปลอบใจพระเอกหนุ่มคนซื่อ ใครจะไปรู้ว่าต้นกำเนิดของ J-romcom อาจจะมาจากบทละครสแกนดิเนเวียในศตวรรษที่ 19 ก็ได้!)
เฮดดาจาก Hedda Gabler และฮิลดาจาก The Master Builder ดูราวกับจะเป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน เหมือนปีศาจและเทพธิดา เฮดดาทำร้าย บดขยี้ชีวิตคนอื่นโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เช่นเดียวกับฮิลดา ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่เข้ามากลางชีวิตที่แตกสลาย และค่อยๆ ผสานทุกสิ่งเข้าหากัน ไม่น่าเชื่อว่าอิบเซนจะสามารถสร้างสองตัวละครที่แตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้
ในส่วนที่คล้ายคลึงกันคือ ละครทั้งสองเรื่องพูดถึงชีวิตแต่งงานที่ล่มสลาย (เอาเข้าจริง ก็ละครแทบทุกเรื่องของอิบเซนนั่นแล) เฮดดาแต่งงานกับเด็กเนิร์ดไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะความเบื่อหน่ายชีวิตตนเอง แต่เมื่อเธอตระหนักว่าชีวิตแต่งงานนั้น น่าเบื่อเสียยิ่งกว่า เธอเลือกที่จะเล่นเกม และทำลายชีวิตคนใกล้ตัว โซลเนส สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ตระหนักว่าอาชีพการงานของเขามาถึงทางตันแล้ว หากดำเนินต่อไป ก็แค่รอเวลาให้เด็กรุ่นหลังแซงหน้า และขโมยความสำเร็จจากตัวเขา เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับอาจารย์ แต่จู่ๆ ฮิลดา หญิงสาวปริศนาก็โผล่เข้ามาในชีวิตโซลเนสและคนรอบข้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
ชอบทั้งสองเรื่องมากพอๆ กัน Hedda Gabler ได้ความรู้สึกสะใจของการทำลายล้าง ขณะที่ The Master Builder เป็นความอิ่มเอมใจอันประหลาดของการซ่อมแซม ความกล้าหาญ หนึ่งในคุณธรรมที่สำคัญที่สุดใน The Master Builder ถูกนำมาถากถางอย่างไม่ใยดีใน Hedda Gabler ช่างน่ามหัศจรรย์ที่บทละครสองเรื่องนี้ (ในเวลาเขียนที่ต่างกันเพียงสองปี) สามารถออกมาจากตัวคนคนเดียวกันได้
(เอาเข้าจริง มีนักวิจารณ์กลุ่มใหญ่ที่ตีความ The Master Builder ไปอีกทางหนึ่งเลย ว่านี่คือความโง่เขลาของผู้ชายวัยทอง ที่ถูกยั่วยวนโดยความเยาว์ ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่เราชอบวิธีอ่านแบบเรามากกว่า ตัวละครฮิลดานั้น โคตรจะ "การ์ตูนญี่ปุ่น" เลย เหมือนพวกอะนิเมะเกิร์ลนิสัยเพี้ยนๆ ที่ออกมาจากกระจก โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือจอทีวี เพื่อปลอบใจพระเอกหนุ่มคนซื่อ ใครจะไปรู้ว่าต้นกำเนิดของ J-romcom อาจจะมาจากบทละครสแกนดิเนเวียในศตวรรษที่ 19 ก็ได้!)
G. Deleuze's "The Fold"
เสียดายที่หนังเรื่อง Meet Dave ไม่ได้ออกมาดีกว่านี้ (ยังไม่ได้ดูหรอกนะ แต่มาตรมะเขืออยู่ที่ประมาณ 20%) ทั้งที่จริงๆ เราว่าไอเดียมันช่าง fascinating ว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆ ที่มาศึกษามนุษย์โลก ผ่านยาวอวกาศที่สร้างออกมาเป็นรูปเอ็ดดี้ เมอฟี่ แฝงตัวปะปนอยู่กับมนุษย์โลก (เอ็ดดี้ เมอฟี่เองก็เล่นบทเป็นกัปตันยาวอวกาศลำนี้) แนวคิดประเภทมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรา ที่จริงแพร่หลายมากในหมู่ชนเผ่าพื้นเมือง และอาจเป็นที่มาของปรัชญาทวินิยมของเดสการ์ต ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างมากต่อศาสนาในปัจจุบัน (ว่าด้วยการแบ่งแยกระหว่างร่างกายและวิญญาณ)
เอาเข้าจริง เราว่ายานอวกาศมนุษย์แบบใน Meet Dave น่าจะคล้ายคลึงกับแนวคิดของลิบซ์นิซมากกว่า อย่างน้อยจากที่เดอลิซตีความลิบซ์นิซใน The Fold ลิบซ์นิซเห็นต่างจากเดสการ์ตตรงที่ว่า ยานอวกาศเอ็ดดี้ เมอฟี่ไม่ได้มีกัปตันคอยบังคับยาน สั่งการลูกเรือ และก็ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่บังคับยานด้วยซ้ำ แต่เป็นมนุษย์ทุกคนบนโลก นอกจากเดฟ ที่คอยควบคุมยานเดฟอยู่ภายในอีกที
ลิบซ์นิซ/เดอลิซเรียกมนุษย์ว่า Monad คล้ายๆ กับที่ไฮเดกเกอร์เรียกมนุษย์ว่า Dasein ถ้า Dasein หมายถึงการอยู่ดีๆ ก็พบตัวเองอยู่ในสถานที่หนึ่งๆ (Dasein แปลตรงตัวได้ประมาณ "being there") Monad ก็หมายถึงมนุษย์คือศูนย์รวมของบางสิ่งบางอย่าง ในที่นี้คือประสบการณ์ภายนอก ภาชนะที่เรียกว่ามนุษย์ เป็นเพียงจุดตัดกันของสิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกตัวเขา มนุษย์ต่างกันเพราะเส้นที่ลากจากทุกสิ่งทุก สามารถตัดกันในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ปัจเจกชนเกิดจากเราไปทึกทักเอาเองว่า จุดตัดสมมติเหล่านี้เป็นของที่มีตัวตนจริงๆ เช่น วิญญาณ หรือจิตใจ (เฮเกลมากๆ พุธมากๆ เราชอบ)
อ่านดี อ่านสนุก แต่ก็สารภาพว่าช่วงนี้ไม่ค่อยอินกับปรัชญาทำนองนี้เท่าไหร่ ขอจบสั้นๆ แค่นี้แล้วกัน
เอาเข้าจริง เราว่ายานอวกาศมนุษย์แบบใน Meet Dave น่าจะคล้ายคลึงกับแนวคิดของลิบซ์นิซมากกว่า อย่างน้อยจากที่เดอลิซตีความลิบซ์นิซใน The Fold ลิบซ์นิซเห็นต่างจากเดสการ์ตตรงที่ว่า ยานอวกาศเอ็ดดี้ เมอฟี่ไม่ได้มีกัปตันคอยบังคับยาน สั่งการลูกเรือ และก็ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่บังคับยานด้วยซ้ำ แต่เป็นมนุษย์ทุกคนบนโลก นอกจากเดฟ ที่คอยควบคุมยานเดฟอยู่ภายในอีกที
ลิบซ์นิซ/เดอลิซเรียกมนุษย์ว่า Monad คล้ายๆ กับที่ไฮเดกเกอร์เรียกมนุษย์ว่า Dasein ถ้า Dasein หมายถึงการอยู่ดีๆ ก็พบตัวเองอยู่ในสถานที่หนึ่งๆ (Dasein แปลตรงตัวได้ประมาณ "being there") Monad ก็หมายถึงมนุษย์คือศูนย์รวมของบางสิ่งบางอย่าง ในที่นี้คือประสบการณ์ภายนอก ภาชนะที่เรียกว่ามนุษย์ เป็นเพียงจุดตัดกันของสิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกตัวเขา มนุษย์ต่างกันเพราะเส้นที่ลากจากทุกสิ่งทุก สามารถตัดกันในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ปัจเจกชนเกิดจากเราไปทึกทักเอาเองว่า จุดตัดสมมติเหล่านี้เป็นของที่มีตัวตนจริงๆ เช่น วิญญาณ หรือจิตใจ (เฮเกลมากๆ พุธมากๆ เราชอบ)
อ่านดี อ่านสนุก แต่ก็สารภาพว่าช่วงนี้ไม่ค่อยอินกับปรัชญาทำนองนี้เท่าไหร่ ขอจบสั้นๆ แค่นี้แล้วกัน
Subscribe to:
Posts (Atom)