W. Shakespeare's "Pericles/Cymbeline"

เหมือนจะแปลกแต่จริงคือ บ่อยครั้งเราคาดเดาไม่ได้เลยว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบหนังสือสักเล่ม จากแค่การอ่านเรื่องย่อ

ยกตัวอย่าง Pericles และ Cymbeline สองบทละครยุคหลังของเชคสเปียร์ที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เราหยิบมาอ่านคู่กันเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าดูจากเฉพาะเรื่องย่อ ยังไง๊ยังไง เราก็น่าจะชอบเรื่องหลังมากกว่า Cymbeline เป็นแบบบทละครแบบเชคสเปียร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เรื่องราวของความรักและการทรยศหักหลัง ขณะที่ Pericles จัดว่าเป็นบทละครแหกคอก มันอยู่ใน genre ที่เรียกว่า "ละครนักบุญ" ซึ่งโด่งดังมากในยุคกลาง (ก่อนยุคเรอเนซองค์) ว่าด้วยการฟันฝ่าอุปสรรคนานาของนักบุญ ก่อนจะพบกับตอนจบที่สุขสม

Pericles เป็นละครเชยๆ แบบที่ได้อธิบายมานั่นเอง เพอริเคลสเป็นเจ้าชายที่ขับไล่ตัวเอง เพื่อหนีจากการแก้แค้นของกษัตริย์อาทิออคุส ระหว่างการเดินทาง เจอกับพายุร้ายและเรือแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้ภรรยา ได้ลูกสาว สูญเสียภรรยา สูญเสียลูกสาว ก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกันของผาสุกในตอนท้าย (Pericles น่าจะเป็นบทละครชวนหัวเรื่องเดียวของเชคสเปียร์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาว แต่เน้นไปที่ความรักในครอบครัว)

เนื้อเรื่องเชยมาก แต่อย่างที่มีแวนเดอโรพูด "พระเจ้าสถิตย์อยู่ในรายละเอียด" จริงๆ กลับเป็นรายละเอียดที่เสริมเสน่ห์ให้กับละครเรื่องนี้ Pericles เริ่มต้นด้วยฉากน่าสยดสยองที่สุดฉากหนึ่งของเชคสเปียร์ เจ้าชายเพอริเคลสเดินทางมาสู่ขอธิดากษัตริย์อาทิออคุส หัวของเจ้าชายองค์ก่อนๆ ถูกเสียบประดับกำแพงเมือง เพอริเคลสได้เรียนรู้ความจริงอันน่าขยะแขยงผ่านปริศนาคำทายว่า กษัตริย์อาทิออคุสลักลอบได้เสียกับธิดาของตัวเอง เป็นฉากที่มหัศจรรย์ และทรงพลังอย่างมาก จนแม้ว่ากษัตริย์อาทิออคุสจะไม่ได้โผล่ออกมาอีกเลย แต่เงาของฉากนี้สยายครอบคลุมละครทั้งเรื่อง (จุดจบของอาทิออคุสและลูกสาวแม้จะเกิดนอกเวที แต่ก็น่ากลัวไม่น้อย)

นักวิจารณ์หลายคนมองว่าปมของ Pericles อยู่ที่ตัวเอกต้องรับมือกับบาปมหันต์ที่เขามีส่วนรับรู้ในตอนต้นเรื่อง และเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวประสบโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่ได้เกี่ยวกับความผิดการกระทำของตัวเองเลย ในตอนท้ายบทละคร เพื่อนผู้หวังดีคนหนึ่ง ต้องการปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลสที่เพิ่งสูญเสียลูกสาว จึงไปซื้อมารินา ลูกสาวซึ่งจริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่มาจากซ่องแห่งหนึ่ง เพื่อให้มาปลอบโยนกษัตริย์เพอริเคลส ถึงในบทละครจะไม่ชัดเจน แต่ฉากนี้น่าจะเล่นกับปมที่ผูกไว้ตอนต้นเรื่อง เพอริเคลสจะพลั้งพลาดและทำความผิดแบบเดียวกับอาทิออคุสหรือไม่

ในทางตรงกันข้าม Cymbeline ที่เรากะว่าเข้าทางเราแน่ๆ กลับดูเหมือนรวมฮิตเชคสเปียร์ไปหน่อย มันเต็มไปด้วยอนุภาคที่เราคุ้นเคยจากบทละครเรื่องเก่าๆ มากเกินไป จนไม่ได้กระตุ้นความอยากอ่านเลย

I. Calvino's "The Uses of Literature"

"กระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติของวรรณกรรม" (Natural Selection of Literature) นั่นแหละคือสรุปรวบยอดแนวคิดทางวรรณกรรมของคัลวิโน

มันหมายความว่าอย่างไร สำหรับคัลวิโน วรรณกรรมไม่ได้เกิดจากการใคร่ครวญ (ที่จะเขียน) ของนักประพันธ์ เขาชักชวนให้เราย้อนเวลากลับไปสมัยยุคถ้ำ สมัยแรกๆ ที่มนุษย์ยังเล่านิทานรอบกองไฟ ภาษาที่จำกัด และความเข้าใจต่อโลกที่จำกัด มนุษย์ถ้ำ อาจจะมีคำ (หรือภาษามือ) ที่สื่อสารความหมายแค่ไม่กี่ช้าง เช่น ช้าง เสือ หิมะ ฝน ตู สู นก ถ้ำ ทะเล กระบวนการเล่าเรื่องเกิดจากมนุษย์ถ้ำเอาสัญญะเหล่านั้นมาต่อๆ กันอย่างสุ่มมั่ว เช่น ช้างตกจากฟ้า ตูอยู่ทะเล นกกินเสือ ในขั้นแรก ประโยคเหล่านี้ไม่มี "ความหมาย" อะไรเลย เป็นแค่การเล่นสนุกของมนุษย์ถ้ำ ที่จะเอาสัญญะมาต่อๆ กัน

แต่แล้วจู่ๆ มนุษย์ถ้ำก็เริ่มสังเกตว่าชุดคำบางอย่าง มัน "ดูดี" มากกว่าชุดคำประเภทอื่น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ช้างเหยียบมด ถึงฟังแล้ว "ใช่" กว่า มดเหยียบช้าง ภาษาค่อยๆ ถูกจำกัดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องราว (หมาป่ากินคุณย่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง ไม่ใช่ คุณย่ากินหมาป่าแล้วปลอมตัวรอหนูน้อยหมวกแดง หรือ หนูน้อยหมวกแดงกินคุณย่า แล้วปลอมตัวรอหมาป่า) เรื่องราวเกิดมาจากการคัดสรรแล้ว จากความเป็นไปได้แบบสุ่มมั่วสิบหมื่นร้อยพัน อะไรที่ "ไม่ใช่" หรือ "ดูไม่ดี" ถูกคัดออก เช่นเดียวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน

น่าตื่นเต้น และน่าตื่นตระหนกมาก สิ่งที่คัลวิโนเชื่อกลับหัวกลับหางกับทฤษฎีวรรณกรรม ภาษาศาสตร์ทั่วไปเลย ไม่ใช่ว่าความจำเป็นก่อให้เกิดภาษา และเรื่องราว แต่ภาษาถูกสร้างขึ้นมาอย่างสุ่มมั่ว ก่อนจะถูกคัดออกไปต่างหาก ความเป็นจริง (หรือความสมจริงสมจัง) ไม่ใช่ตัวกำหนดโครงสร้าง การไหลเวียนของภาษา มองในทางตรงข้าม ภาษาต่างหากที่ควบคุมความเป็นจริงอีกชั้น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจู่ๆ มนุษย์ถ้ำรู้สึกว่า "ตูบินได้"​ มันฟังดูเข้าท่าเข้าที อำนาจของภาษามีผลอย่างไรต่อความเป็นจริง (นี่เองคือที่มาของเวทมนต์คาถา คำพูดที่ฟังดูใช่ แม้จะขัดแย้งกับความเป็นจริงก็ตาม)

A. Copland's "What to Listen for in Music"

มีนิยายที่จงใจไม่ใช่ตัวอักษร e (ตัวอักษรสามัญที่สุดในภาษาอังกฤษ) นิยายที่ค่อยๆ ตัดคำขึ้นต้นด้วยตัว a b c d e f... ไปเรื่อยๆ ในแต่ละบท นิยายที่เขียนโดยไม่ใช้คำซ้ำเลย (อ่านได้ประมาณหนึ่งย่อหน้า ก็อ่านไม่รู้เรื่องแล้ว ทั้งเล่มยาวประมาณ 200 หน้า) สงสัยว่าทำไมการเขียนนิยายแนวทดลองถึงเต็มไปด้วยเงื่อนไขของการตัดทอน การลบละบางสิ่งบางอย่าง ไม่เห็นมีใครเขียนนิยายแบบแจ็ค นิโคลสันใน The Shining นิยายที่มีแต่ประโยคเดียวซ้ำไปซ้ำมา (แจ็คไม่ได้บ้า เขาแค่กำลังทำการทดลองทางวรรณกรรมต่างหาก! :-P )

สมมติฐานหนึ่งคือ พื้นฐานของศิลปะที่เล่าเรื่อง โดยเฉพาะวรรณกรรม คือการหาอะไรใหม่ๆ มาป้อนคนอ่านตลอดเวลา นิยายขนบอาศัยการเดินเรื่อง พาตัวเอกและคนอ่านไปสู่สถานการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิม คนเขียนนิยายแนวทดลอง ก็อาจสืบทอดวิธีคิดนี้มาโดยไม่รู้ตัว

ถ้าพิจารณากันจริงๆ คุณสมบัติตรงนี้ต่างจากดนตรีชนิดกลับหัวกลับหางเลย ดนตรี ยิ่งขนบเท่าใด ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความซ้ำ พื้นฐานของดนตรีขนบคือการย้ำไปที่โน้ต สเกล จังหวะ คอร์ด ธีม หรือ โมทีฟหนึ่งๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ผู้ฟังคุ้นเคย และรู้สึกอุ่นใจเสียงพื้นตรงนั้น (และด้วยเหตุนี้ นักประพันธ์ต้นศตวรรษที่ 20 ถึงพยายามฉีกตัวเองด้วยเทคนิคต่างๆ ที่พยายามทำลายความซ้ำซากตรงนี้ Twelve-tone technique ของโชคเบิร์ค คือตัวอย่างหนึ่ง) ทั้งหมดนี้เพราะดนตรีอาจเป็นศิลปะแขนงเดียวที่ form จัดกว่า content อย่างเห็นได้ชัด

แต่จริงหรือเปล่าที่ว่าวรรณกรรมไม่มีความซ้ำซากเลย ถ้าวิเคราะห์ดีๆ เราก็จะพบอาการย้ำคิดย้ำทำในวรรณกรรมเฉกเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ชัดเจนเท่ากรณีของดนตรี แต่นักวิจารณ์แนวโครงสร้างนิยมก็มักพูดถึง form ของวรรณกรรม และเมื่อมี form ก็ (อาจ) หมายถึงการย้ำโมทีฟบางอย่างในงานเขียนได้ด้วย

ทั้งหลายนี้อาจเป็นสาเหตุที่เราสนอกสนใจทฤษฎีดนตรีเสมอมา การผลิตงานศิลปะขึ้นมาจากความซ้ำซาก การใช้ form จัดๆ มานำ content การดัดแปลงเอาฟูวก์ หรือโซนาตามาใช้กับงานวรรณกรรมจะเป็นไปได้ไหม และออกมาในรูปแบบใด ความสนใจนี้ดลให้เราหา What to Listen for in Music ของแอรอน คอปแลนด์มาอ่าน หนังสือคลาสสิคว่าด้วยทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน

R. Windor's "The Final Act of Mr Shakespeare"

มีความล้มเหลวบางอย่างที่เราให้ค่ามันเสียยิ่งกว่าความสำเร็จอีก The Final Act of Mr Shakespeare นิยายกึ่งประวัติศาสตร์ ว่าด้วยเบื้องหลังบทละคร Henry VIII ของเชคสเปียร์ คือความล้มเหลวที่ว่า

วินดอร์สมมติเรื่องราว ให้เชคสเปียร์ไปชมละคร Richard III ของตัวเอง แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดจิตสำนึกขึ้นมา เขาอับอายตัวเองที่วาดภาพกษัตริย์ริชาร์ดให้ออกมาเป็นผู้ร้ายสุดโต่ง เพื่อเยินพระเกียรติราชวงศ์ทิวดอร์ เชคสเปียร์ตัดสินใจจะแก้ไขบันทึกประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง นักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่จึงตัดสินใจผลิตบทละครชิ้นสุดท้าย Henry VII เพื่อเปิดเผยความชั่วร้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ แต่เบื้องหน้า ให้นักเขียนอีกคนเขียน Henry VIII เพื่อปกปิดโครงการอันตรายนี้

ผิวเผินเหมือนว่านิยาย (ชื่อย้าวยาว) ของวินดอร์เรื่องนี้จะเข้าข่าย cloak-and-dagger นิยายสายลับนักสืบย้อนยุค (เช่น สามทหารเสือ) แต่ The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านั้น วินดอร์สืบค้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของเชคสเปียร์ มาผสมปนเปเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้ เอาเข้าจริงแล้วนิยายเรื่องนี้มีอนุภาค (element) ของความเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์เบื้องหลังการเขียนบทละครเสียมากกว่า

แต่ก็นั่นแหละ คือจุดด้อยและความล้มเหลวของมัน เราบอกว่า The Final Act of Mr Shakespeare มีหลายอย่างมากกว่านิยาย cloak-and-dagger แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีหลายอย่างน้อยกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนที่วินดอร์ไปค้นคว้ามาว่า เวลาเชคสเปียร์เขียนบทละคร แทนที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องกับปากกาและกระดาษเปล่า เขากลับใช้วิธีเรียกนักแสดง และศิลปินมารวมตัวกัน แล้วค่อยๆ คิดฉาก ให้แต่ละนักแสดงสวมบทบาทแล้วด้นสดเลย มีเสมียนคอยจดคนหนึ่ง จากนั้นค่อยให้เชคสเปียร์ไปเกลาเป็นคนสุดท้ายอีกที ไม่เคยพบเคยเห็น creative process ที่สุมหัวคิดแบบนี้มาก่อน (เราเคยเล่นเป็นตัวประกอบในละครเชคสเปียร์ ยังจำคำพูดของผู้กำกับได้แม่นยำเลย "Theatre is not a f*cking democracy!")

ส่วนใหญ่ของ The Final Act of Mr Shakespeare ก็คือการสุมหัวคิดแบบนี้แหละ นิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอก็คงสนุกดี แต่นี้เล่นกินเรื่องราวเกือบตลอดทั้งเล่ม แทนที่จะอ่านสนุกแบบนิยาย cloak-and-dagger เลยกลายเป็นหนังสือสุด tedious แทน แถมตอนท้ายวินดอร์ยัง "กล้าดี" พอที่จะนำเสนอบทละคร Henry VII ของตัวเองอีกต่างหาก (เท่ากับว่า คนอ่านอย่างเราต้องอ่าน Henry VII สองครั้ง คือระหว่างสุมหัวคิด กับในรูปบทละครสมบูรณ์แบบ)

อีกจุดอ่อนหนึ่งคือปรัชญาของนิยายเรื่องนี้ เราไม่เชื่อว่าเชคสเปียร์ตัวจริงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์หรอก และขณะที่เชคสเปียร์ของวินดอร์ พร่ำภาวนาถึงการเขียนประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง แต่บทละคร Henry VII กลับได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องซุบซิบนินทา หรือแม้แต่สิ่งที่วินดอร์กำลังทำอยู่นี้ (เล่นกับเกร็ดประวัติศาสตร์) ในแง่หนึ่งก็คือการปลอมประวัติศาสตร์เพื่อความบันเทิงนั่นเอง

G. Greene's "A Gun for Sale"

เอาน่า ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง เราเดาว่าถ้า A Gun for Sale ไม่ใช่นิยายเรื่องแรกของเกรแฮม กรีน ก็น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ เลย ตกลงเป็นเรื่องที่เจ็ด จากสามสิบกว่าเรื่องตลอดทั้งชีวิต ก็น่าจะถือเป็นเรื่องแรกๆ ได้เหมือนกัน

ราเวนเป็นผู้ชายที่หันหลังให้กับโลกทั้งใบ เขามีอาชีพมือปืนรับจ้าง ("a gun for sale") รับงานใหญ่มาชิ้นหนึ่ง ถูกผู้ว่าจ้างหักหลัง ถูกตำรวจตามล่า และตามล่าผู้ว่าจ้างต่ออีกทอด ระหว่างนั้น แอน นักแสดงสาวที่เชื่อว่าราเวนกำลังพยายามหยุดยั้งสงคราม เข้ามาพัวพันกับเขา แต่แอนดันเป็นคู่หมั้นของตำรวจที่กำลังตามล่าราเวนอยู่ เรื่องก็เลยอิรุงตุงนังเช่นฉะนี้

พอมาอ่านเรื่องย่อเชยๆ เลยตระหนักว่า บางทีความสำเร็จของนิยายเรื่องนี้น่าจะมาจากการที่กรีนเขียนให้มันออกมาไม่เชย และเหตุบังเอิญทั้งหลายแหล่ ไม่ออกมาน่าเหลือเชื่อจนเกินไป A Gun for Sale ไม่ใช่นิยายที่ไม่ดี แต่ ณ จุดนี้เราไม่ตื่นเต้นกับงานระดับนี้แล้ว น่าจับตามากกว่าคือมันเต็มไปด้วยเทคนิคของมือสมัครเล่น (ตอนจบมีการเล่าเหตุการณ์ถัดจากนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาตัวประกอบบ้าง น่ารักดี แต่เหมือนไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ กับนิยายทริลเลอร์สั้นๆ แบบนี้)

มีบางลูกเล่นการเขียน ที่กรีนหยิบจับมาพัฒนา จนแตกฉานในงานชิ้นถัดไป พร้อมกับอีกหลายลูกเล่นที่กรีนโยนทิ้ง ไม่แตะต้องมันอีกเลย (ขอบคุณพระเจ้า!) โดยเฉพาะการจงใจตัดข้ามไคลแม็ก และไปเล่าเหตุการณ์ปลีกย่อย ก่อนค่อยๆ บิวด์เข้าสู่เหตุการณ์หลักอีกคราว เป็นเทคนิคที่ช่างโชว์ออฟ และถูกใช้บ่อยจนน่ารำคาญ แม้ว่าใน The Ministry of Fear กรีนจะเอาเทคนิคนี้กลับมาใช้อีกครั้ง ได้อย่างน่าพึงพอใจก็ตาม

เล่าให้ฟังขำๆ คือ เหตุการณ์ในนิยายเกิดช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ราเวนรับจ้างฆ่าคนระดับนักการเมืองใหญ่ด้วยค่าจ้างเพียง 200 ปอนด์ ส่วนผู้ร้ายใหญ่สุดวางแผนชั่วเพื่อหวังฟันกำไรเพียง 500,000 ปอนด์เท่านั้น ความเฟ้อของเงินช่างน่ากลัว

H. Ibsen's "Four Major Plays"

Four Major Plays ประกอบด้วยบทละครสี่เรื่องดังของอิบเซนคือ A Doll's House Ghosts Hedda Gabler และ The Master Builder เคยอ่านและชมเรื่องแรกนานแล้ว เลยไม่ได้อ่านซ้ำรอบนี้ ส่วน Ghosts ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ดังนั้นในบลอคนี้ก็ขอพูดถึงแค่สองเรื่องสุดท้ายเท่านั้น

เฮดดาจาก Hedda Gabler และฮิลดาจาก The Master Builder ดูราวกับจะเป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน เหมือนปีศาจและเทพธิดา เฮดดาทำร้าย บดขยี้ชีวิตคนอื่นโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เช่นเดียวกับฮิลดา ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่เข้ามากลางชีวิตที่แตกสลาย และค่อยๆ ผสานทุกสิ่งเข้าหากัน ไม่น่าเชื่อว่าอิบเซนจะสามารถสร้างสองตัวละครที่แตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้

ในส่วนที่คล้ายคลึงกันคือ ละครทั้งสองเรื่องพูดถึงชีวิตแต่งงานที่ล่มสลาย (เอาเข้าจริง ก็ละครแทบทุกเรื่องของอิบเซนนั่นแล) เฮดดาแต่งงานกับเด็กเนิร์ดไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะความเบื่อหน่ายชีวิตตนเอง แต่เมื่อเธอตระหนักว่าชีวิตแต่งงานนั้น น่าเบื่อเสียยิ่งกว่า เธอเลือกที่จะเล่นเกม และทำลายชีวิตคนใกล้ตัว โซลเนส สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ตระหนักว่าอาชีพการงานของเขามาถึงทางตันแล้ว หากดำเนินต่อไป ก็แค่รอเวลาให้เด็กรุ่นหลังแซงหน้า และขโมยความสำเร็จจากตัวเขา เฉกเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับอาจารย์ แต่จู่ๆ ฮิลดา หญิงสาวปริศนาก็โผล่เข้ามาในชีวิตโซลเนสและคนรอบข้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง

ชอบทั้งสองเรื่องมากพอๆ กัน Hedda Gabler ได้ความรู้สึกสะใจของการทำลายล้าง ขณะที่ The Master Builder เป็นความอิ่มเอมใจอันประหลาดของการซ่อมแซม ความกล้าหาญ หนึ่งในคุณธรรมที่สำคัญที่สุดใน The Master Builder ถูกนำมาถากถางอย่างไม่ใยดีใน Hedda Gabler ช่างน่ามหัศจรรย์ที่บทละครสองเรื่องนี้ (ในเวลาเขียนที่ต่างกันเพียงสองปี)​ สามารถออกมาจากตัวคนคนเดียวกันได้

(เอาเข้าจริง มีนักวิจารณ์กลุ่มใหญ่ที่ตีความ The Master Builder ไปอีกทางหนึ่งเลย ว่านี่คือความโง่เขลาของผู้ชายวัยทอง ที่ถูกยั่วยวนโดยความเยาว์ ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่เราชอบวิธีอ่านแบบเรามากกว่า ตัวละครฮิลดานั้น โคตรจะ "การ์ตูนญี่ปุ่น" เลย เหมือนพวกอะนิเมะเกิร์ลนิสัยเพี้ยนๆ ที่ออกมาจากกระจก โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือจอทีวี เพื่อปลอบใจพระเอกหนุ่มคนซื่อ ใครจะไปรู้ว่าต้นกำเนิดของ J-romcom อาจจะมาจากบทละครสแกนดิเนเวียในศตวรรษที่ 19 ก็ได้!)

G. Deleuze's "The Fold"

เสียดายที่หนังเรื่อง Meet Dave ไม่ได้ออกมาดีกว่านี้ (ยังไม่ได้ดูหรอกนะ แต่มาตรมะเขืออยู่ที่ประมาณ 20%) ทั้งที่จริงๆ เราว่าไอเดียมันช่าง fascinating ว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆ ที่มาศึกษามนุษย์โลก ผ่านยาวอวกาศที่สร้างออกมาเป็นรูปเอ็ดดี้ เมอฟี่ แฝงตัวปะปนอยู่กับมนุษย์โลก (เอ็ดดี้ เมอฟี่เองก็เล่นบทเป็นกัปตันยาวอวกาศลำนี้) แนวคิดประเภทมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรา ที่จริงแพร่หลายมากในหมู่ชนเผ่าพื้นเมือง และอาจเป็นที่มาของปรัชญาทวินิยมของเดสการ์ต ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างมากต่อศาสนาในปัจจุบัน (ว่าด้วยการแบ่งแยกระหว่างร่างกายและวิญญาณ)

เอาเข้าจริง เราว่ายานอวกาศมนุษย์แบบใน Meet Dave น่าจะคล้ายคลึงกับแนวคิดของลิบซ์นิซมากกว่า อย่างน้อยจากที่เดอลิซตีความลิบซ์นิซใน The Fold ลิบซ์นิซเห็นต่างจากเดสการ์ตตรงที่ว่า ยานอวกาศเอ็ดดี้ เมอฟี่ไม่ได้มีกัปตันคอยบังคับยาน สั่งการลูกเรือ และก็ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่บังคับยานด้วยซ้ำ แต่เป็นมนุษย์ทุกคนบนโลก นอกจากเดฟ ที่คอยควบคุมยานเดฟอยู่ภายในอีกที

ลิบซ์นิซ/เดอลิซเรียกมนุษย์ว่า Monad คล้ายๆ กับที่ไฮเดกเกอร์เรียกมนุษย์ว่า Dasein ถ้า Dasein หมายถึงการอยู่ดีๆ ก็พบตัวเองอยู่ในสถานที่หนึ่งๆ (Dasein แปลตรงตัวได้ประมาณ "being there") Monad ก็หมายถึงมนุษย์คือศูนย์รวมของบางสิ่งบางอย่าง ในที่นี้คือประสบการณ์ภายนอก ภาชนะที่เรียกว่ามนุษย์ เป็นเพียงจุดตัดกันของสิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกตัวเขา มนุษย์ต่างกันเพราะเส้นที่ลากจากทุกสิ่งทุก สามารถตัดกันในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ปัจเจกชนเกิดจากเราไปทึกทักเอาเองว่า จุดตัดสมมติเหล่านี้เป็นของที่มีตัวตนจริงๆ เช่น วิญญาณ หรือจิตใจ (เฮเกลมากๆ พุธมากๆ เราชอบ)

อ่านดี อ่านสนุก แต่ก็สารภาพว่าช่วงนี้ไม่ค่อยอินกับปรัชญาทำนองนี้เท่าไหร่ ขอจบสั้นๆ แค่นี้แล้วกัน